โรคภูมิแพ้คืออะไร

โรคภูมิแพ้คืออะไร

HIGHLIGHTS:

  • โรคภูมิแพ้ในไทยมีอัตราการตรวจพบมากขึ้น 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน
  • โรคภูมิแพ้ที่พบมากที่สุดคือ โรคภูมิแพ้ของระบบทางเดินหายใจ
  • การหาสาเหตุของการแพ้  ด้วยวิธี Skin Prick Test สามารถจะช่วยให้แพทย์วางแผนรักษาต่อได้อย่างตรงจุด
  • การรักษาผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ระบบหายใจ โดยการใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นอาจต้องเสริมภูมิด้วยการฉีดวัคซีน

โรคภูมิแพ้คืออะไร

โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายของเราที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ

  • ไรฝุ่น
  • รังแคของสุนัขและแมว
  • แมลงสาบ
  • เกสรดอกหญ้า

อาการของโรคภูมิแพ้

โรคนี้มีสาเหตุนึงมาจากพันธุกรรม ดังนั้นหากมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้ อาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น  และการแสดงอากาแพ้จะแสดงออกมาทางระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

โรคภูมิแพ้เกิดขึ้นกับระบบใดในร่างกาย

  • ระบบหายใจ มีอาการตั้งแต่น้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก (คนทั่วไปเรียกว่าโรคแพ้อากาศ) หรืออาจมีอาการรุนแรง เช่น ไอ แน่นหน้าอก มีอาการหอบ ซึ่งเป็นอาการของโรคหืด สาเหตุของโรคภูมิแพ้ของระบบทางเดินหายใจ ส่วนมากเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ โดยในคนไทยส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้ไรฝุ่น รองลงมาคือ แมลงสาบ  ขนและรังแคสัตว์เลี้ยง เช่น  แมว สุนัข เกสรพืช หรือเชื้อราในอากาศ “สำหรับในเด็กเล็กๆ การแพ้อาหารเช่น นมวัว ไข่ อาจแสดงอาการออกมาทางระบบหายใจได้ เช่น หายใจครืดคราด เป็นต้น”
  • ผิวหนัง เช่น ผื่นลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) หรือ ผื่นแพ้จากการสัมผัส สาเหตุใหญ่ของลมพิษมักเกิดจากอาหารและยา ส่วนผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมักเกิดขึ้นในเด็กที่มีพันธุกรรมของโรคภูมิแพ้ในครอบครัว อาจเกิดจากการแพ้อาหาร เช่น นมวัว ไข่ ซึ่งทำให้เกิดผื่น โดยมักเกิดบริเวณแก้มในเด็กเล็กหรือข้อพับในเด็กโต
  • ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นมูกเลือด สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้อาหาร
  • ระบบอื่นๆ (ที่มักมีอาการรุนแรง) ผู้ป่วยบางรายมีอาการแพ้มาก อาจมีอาการเกิดขึ้นในทุกระบบ เช่น หอบ ลมพิษ ช็อค หรืออาจรุนแรงจนเสียชีวิตภายหลังจากการกินอาหารบางชนิด เช่น กุ้ง ถั่วลิสง  ฯลฯ หรือภายหลังได้รับยา เช่น เพนิซิลลิน

โรคภูมิแพ้พบมากน้อยเพียงใด ?

ปัจจุบันโรคภูมิแพ้พบมากขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้มากขึ้น 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับเมื่อ10 ปีก่อน โดยพบโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23-30 โรคหืดร้อยละ 10-15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหารร้อยละ 6   การพบโรคภูมิแพ้ของระบบการหายใจเพิ่มขึ้นในประเทศไทยก็เพราะวิถีของคนไทยเปลี่ยนไป ประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อยู่กันอย่างแออัด บ้านเรือนจากเดิมที่มีลักษณะโปรง โล่ง มีการถ่ายเท อากาศดีเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกมากขึ้น มีเพดานเตี้ยประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือน ปิดหน้าต่างตลอดเวลา เปิดเครื่องปรับอากาศ ภายในห้องมีพรมซึ่งมีไรฝุ่นมาก มีต้นไม้ประดับซึ่งมีเชื้อรา นิยมเลี้ยงสุนัข แมวในบ้าน บางคนถึงกับเอาไปนอนด้วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่เราสูดหรือสัมผัสเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลายิ่งกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการแพ้ขึ้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น มลพิษในอากาศ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฝุ่นละอองตามถนน ควันจากท่อรถยนต์และจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันบุหรี่ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยทำให้เกิดอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

สาเหตุของโรคภูมิแพ้

  • พันธุกรรม โรคภูมิแพ้หลายโรค จะเกิดขึ้นได้ง่ายถ้ามีพันธุกรรม เช่น โรคหืด โรคแพ้อากาศ และผื่นภูมิแพ้ในเด็กยิ่งถ้ามีประวัติว่าทั้งพ่อและแม่เป็น จะยิ่งมีโอกาศมากกว่าพ่อหรือแม่เป็นฝ่ายเดียว กล่าวคือถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 30-50 แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงร้อยละ 50-70 ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลยมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียง 10%
  • โรคภูมิแพ้บางอย่าง สาเหตุจากพันธุกรรมไม่ค่อยเป็นปัจจัยสำคัญมากนัก เช่น ลมพิษ แพ้จาการสัมผัส เช่น แพ้เครื่องประดับ แพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น
  • สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้าสู่ร่างกายเราเกิดจากสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น  ไม่ว่าสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าร่างกายโดยการหายใจ  การรับประทาน หรือการสัมผัส  สารก่อภูมิแพ้บางอย่างสังเกตได้ง่าย เช่น มีอาการหลังจากรับประทานทะเลอาจเกิดผื่นลมพิษภายในเวลาครึ่งชั่วโมง หรือกินยาแล้วมีผื่นขึ้น ผู้ป่วยกวาดบ้าน เล่นกับแมวหรือสุนัขแล้วเกิดอาการจาม คัดจมูกหรือหอบ
  • สารก่อภูมิแพ้บางอย่างสังเกตได้ยากเพราะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น เกสร เชื้อราในอากาศ หรือไรฝุ่นในบ้าน ซึ่งพบมากตามที่นอน หมอน โซฟา ห้องรับแขก พรม ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดของโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น อากาศเย็น มลพิษในอากาศจากความควันรถ ควันโรงงาน อุตสาหกรรม ฝุ่นละอองตามท้องถนน ควันบุหรี่อีกด้วย

มีอาการอย่างไร จึงสงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้

  • ระบบการหายใจ ตั้งแต่จาม คันจมูก น้ำมูกไหล คัดจมูก คันตา คันคอ หรือไอเรื้อรังมีเสมหะ มีอาการหอบเหนื่อย หายใจเสียงดังวี้ดๆ อาการดังกล่าวอาจเป็นๆ หายๆ อาจมีอาการเป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นตลอดเกือบทั้งปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุ
  • ระบบผิวหนัง อาจแสดงเป็นลมพิษ ผื่นคันตามข้อพับ ในเด็กอาจมีผื่นแดงบริเวณแก้ม
  • ระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด
  • แสดงอาการทุกระบบ ในคนไข้ที่แพ้รุนแรง อาจมีทั้งอาการหอบ หายใจลำบาก ลมพิษขึ้น ช็อคหรืออาจเสียชีวิต

การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้

แพทย์จะซักประวัติผู้ป่วยโดยละเอียด การตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฏิบัติการในบางราย หรือในรายที่ต้องการทราบสาเหตุว่าแพ้อะไรอาจใช้การทดสอบผิวหนัง

การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง

การทดสอบผิวหนัง หรือ skin prick test เพื่อตรวจหาว่าผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใดบ้าง  โดยมีวิธีทดสอบ ดังนี้

  • แพทย์หยดน้ำยาซึ่งเป็นสารสกัดลงบนท้องแขนหรือบริเวณหลัง
  • ใช้เข็มสะกิดเบาๆ (วิธีนี้มักทำได้ในเด็กอายุ 2  ปีขึ้นไปที่ให้ความร่วมมือ)
  • หลังจากสะกิด แพทย์จะอ่านผลใน 15-20 นาที และจะรู้ว่าแพ้สารอะไร

* คนไข้ต้องงดรับประทานยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ก่อนการทดสอบ 1 สัปดาห์
* หากมีการใช้ยาสเตียรอยด์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทดสอบ

การรักษาโรคภูมิแพ้

  • หลีกเลี่ยงจากสารที่แพ้ (ถ้าเราทราบว่าแพ้สารอะไร)
    หากทราบว่าแพ้สารอะไร ก็พยายามหลีกเลี่ยงสารนั้นให้มากที่สุด เมื่อสารก่อภูมิแพ้ไม่เข้าร่างกายก็จะไม่มีอาการ  สารก่อภูมิแพ้บางอย่างหลีกเลี่ยงง่ายเช่น หลีกเลี่ยงจากสัตว์เลี้ยง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการของโรคลดลงได้  สารบางอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น เกสรหญ้า เกสรต้นไม้ เชื้อราในอากาศ ที่มีอยู่ในบรรยากาศที่เราหายใจ มีมากน้อยแล้วแต่สถานที่และฤดูกาล  สารบางอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากแต่ทำให้น้อยลงได้ เช่น ไรฝุ่นตามที่นอน หมอน พรม ก็หมั่นทำความสะอาด ดูดฝุ่นสม่ำเสมอ ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนควรทำความสะอาดบ่อยๆ ถ้าซักด้วยเครื่องควรปรับอุณหภูมิให้ร้อนประมาณ 60 องศาเซลเซียส และซักทุกสัปดาห์ จะช่วยลดจำนวนไรฝุ่นได้ หรืออาจใช้ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนกันไรฝุ่น ก็จะช่วยลดไรฝุ่นในที่นอน ที่ก่อให้เกิดอาการได้พอสมควร  ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้จากการสัมผัส เช่น ผื่นคันบริเวณที่ถูกเครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ ก็งดการใช้ผื่นก็จะไม่เกิด
  • ให้ยาเฉพาะโรค
    การใช้ยามักเป็นการควบคุมอาการไม่ให้เกิดขึ้น ในปัจจุบันเมื่อเข้าใจพยาธิสภาพของโรคต่างๆ ดีขึ้น ก็สามารถใช้ยาควบคุมอาการ ลดการอักเสบ นอกเหนือจากการใช้ยาระงับอาการ ทำให้ควบคุมโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น การฉีดวัคซีนภูมิแพ้    โรคภูมิแพ้ระบบหายใจ เช่น โรคแพ้อากาศ โรคหืด ที่มีสาเหตุจากาการแพ้สารก่อภูมิแพ้บางอย่างซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น เกสรพืช เชื้อรา หรือ ไรฝุ่น และถ้าผู้ป่วยมีอาการมากใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้นอาจต้องเสริมภูมิด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ วิธีการก็คือฉีดสารสกัดที่ผู้ป่วยแพ้เข้าร่างกายครั้งละน้อยๆ ค่อยๆ เพิ่มจำนวนจนถึงระดับที่ควบคุมอาการได้แต่ต้องใช้ระยะเวลานาน ระยะแรกๆ อาจต้องฉีดทุกสัปดาห์นานประมาณ 6 เดือน ต่อไปอาจจะทุก 2 สัปดาห์ ทุก 3 สัปดาห์ และ 4 สัปดาห์ ตามลำดับ การรักษาแบบนี้ กินเวลานานอาจใช้เวลา 3-6 ปี ซึ่งทำให้อาการต่างๆ ลดน้อยลง
  • การป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้
    • ให้ทารกกินนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุอย่างน้อย 4-6 เดือน
    • ให้นมสูตรพิเศษ กรณีที่นมแม่ไม่พอหรือจำเป็นต้องให้นมอื่นเสริม อาจมีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบในทารกกลุ่มเสี่ยง
    • อาหารเสริมตามวัยสามารถให้ได้เมื่อทารกอายุ 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับความพร้อมของทารก โดยเริ่มจากอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้น้อยก่อน เช่น ข้าว ผักใบเขียว ไก่ หมู เป็นต้น
    • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้องนอนทารกควรเป็นห้องโปร่ง สะอาด มีของเท่าที่จำเป็น ที่นอน หมอน ควรใช้ชนิดใยสังเคราะห์  หลีกเลี่ยงนุ่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนควรซักบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ควรซักในน้ำร้อน ไม่ควรมีตุ๊กตาที่มีขน พรม  หรือหนังสือในห้องนอน เช็ด ถู ทำความสะอาดห้องเป็นประจำ ควรเปิดให้อากาศถ่ายเทและแสงแดดเข้าได้ ไม่ควรมีผู้สูบบุหรี่ในบ้าน ให้หลีกเลี่ยงควัน สิ่งระคายทางระบบหายใจให้มากที่สุด นอกจากนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการติดเชื้อระบบการหายใจ เพราะเชื้อไวรัสบางอย่างมีผลทำให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้นหรือมีอาการมากขึ้น
คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?