โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลต่อการไหลเวียนปริมาณเลือดไปเลี้ยงยังกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์สมอง สามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก โดยคาดว่าในปี 2030 คนในสหรัฐอเมริกา 23.6 ล้านคนจะมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งมักไม่มีอาการ หรืออาจยังไม่ถูกตรวจพบจนกว่าจะเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ดังนั้น การตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
Wearable Devices หรืออุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ คือเทคโนโลยีที่ออกแบบมาให้สามารถสวมใส่บนร่างกายได้ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ (smartwatches) เครื่องติดตามการออกกำลังกาย (fitness trackers) แว่นตาอัจฉริยะ (smart glasses) และอุปกรณ์ที่สวมใส่อื่นๆ ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายเพื่อช่วยรายงานปัญหาและแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้กับผู้สวมใส่ เพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและดีต่อร่างกายในระยะยาว
บทบาทที่เห็นได้ชัดคือ ช่วงระบาดของ COVID-19 การรักษาระยะไกลเข้ามามีบทบาทอย่างมาก โดยแพทย์ได้มีการนำอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมาใช้เป็นอุปกรณ์ติดตามวัดค่าระดับการทำงานของระบบร่างกายผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดจะมีการใช้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเพื่อตรวจจับสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต หรือการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเต้นของหัวใจ ด้วยการรายงานระดับความผิดปกติในร่างกายของผู้ป่วยที่สวมใส่ไปยังศูนย์ให้บริการเพื่อให้ความช่วยเหลือและจ่ายยาได้ทันท่วงที เป็นต้น
การวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมายให้เข้ารับการตรวจเป็นประจำเพื่อประเมินความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiogram (ECG) โดยเครื่อง ECG (เครื่องที่ใช้ในการบันทึกคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ) วินิจฉัยและติดตามความผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation หรือ AF หรือ A-Fib) ซึ่งเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่พบได้บ่อย และนอกจากนี้เครื่อง ECG ยังใช้เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะหัวใจอื่นๆ ได้อีกด้วย
แต่ด้วยปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจนสามารถพัฒนาเครื่องตรวจวัดอัตราชีพจรแบบสวมใส่ได้ ซึ่งความละเอียดแม้จะไม่เท่ากับเครื่อง ECG แบบ 12 ลีด แต่สามารถบอกความผิดปกติเบื้องต้นของปัญหาที่เกิดกับหัวใจของผู้สวมใส่ได้ โดยจะเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้ระบบถ่ายภาพอินฟราเรดใกล้ หรือ Photoplethys Mography (PPG) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณหลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง และให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงสามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือด เป็นต้น
ตัวอย่างอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่สามารถทำให้ผู้สวมใส่วัด ECG ได้ด้วยตนเองโดยตรงจากข้อมือและดูผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ได้ คือ นาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) ที่สามารถตรวจสอบกิจกรรมของหัวใจได้อย่างต่อเนื่องและเข้าถึงข้อมูลสุขภาพหัวใจได้สะดวกกว่าการตรวจ ECG แบบดั้งเดิม ส่งผลให้เกิดการป้องกันผ่านการแจ้งเตือนความผิดปกติของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที
สำหรับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังเครื่องติดตามสุขภาพแบบสวมใส่นั้นได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสมาร์ทวอทช์ อุปกรณ์การแพทย์พกพาหรือเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ล้วนใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการวัดระดับกิจกรรม เพื่อดูแลสุขภาพของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการนอนหลับ อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าอื่นๆ
โดยหลักแล้วอุปกรณ์สวมใส่จะประกอบด้วยเซนเซอร์หลายตัวที่ทำงานร่วมกันเพื่อตรวจจับความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในแต่ละอุปกรณ์นั้นจะมีองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้
เป็นที่ทราบกันดีว่า อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ หรือ Wearable devices นั้นมีข้อจำกัดในการตรวจ ECG เมื่อเปรียบเทียบกับ ECG 12 ลีด ดังนี้
ปัจจุบันปัญหาที่ผู้พัฒนากำลังเผชิญ คือ ความเข้าใจและความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อาจพบปัญหาด้านการใช้อุปกรณ์เพื่อคัดกรองภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงการดูแลและติดตามผลการรักษาในผู้ป่วย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มสูงอายุส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจมากกว่าหากได้พบแพทย์ รวมถึงรับการตรวจวินิจฉัย และรักษาโดยผู้เขี่ยวชาญแบบได้สัมผัสและพบหน้า
ดังนั้นเมื่ออุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมีการตรวจพบภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ผิดปกติเบื้องต้นและแจ้งเตือนการประมวลผล ผู้สวมใส่ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ รวมถึงการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีที่มีการประมวลผลที่รวดเร็วเทียบเคียงได้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่อาจยังไม่แม่นยำเท่าเนื่องจากอยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนา รวมถึงมีผู้ให้ความสนใจและนำมาใช้มากขึ้น การวิจัยที่เริ่มตีพิมพ์หลายฉบับเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมดังกล่าว รวมถึงบริษัทด้านเทคโนโลยีได้ทุ่มงบในการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเพื่อปิดข้อบกพร่อง โดยในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนช่วยประมวลผลมากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะและได้ใช้เทคโนโลยีที่แม่นยำ รวดเร็ว จัดการและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต