ภาวะหนังตาตก (Ptosis) ไม่ได้เกิดแค่ผู้สูงอายุ

ภาวะหนังตาตก (Ptosis) ไม่ได้เกิดแค่ผู้สูงอายุ

HIGHLIGHTS

  • ภาวะหนังตาตก (Ptosis) สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งจะมีความรุนแรงแตกต่างกัน อาจพบข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ไม่มีอาการเจ็บปวด แต่จะส่งผลต่อการมองเห็น
  • ภาวะหนังตาตก กับภาวะหนังตาหย่อน แตกต่างกัน มีวิธีการรักษาไม่เหมือนกัน ภาวะหนังตาหย่อน ไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย แค่อาจทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่นและดูสูงวัย แต่ภาวะหนังตาตก อาจรบกวนการมองเห็นและเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันได้ 
  • หนังตาตกที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ สามารถผ่าตัดช่วยแก้ไขให้ดีขึ้นได้

ภาวะหนังตาตก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งจะมีความรุนแรงแตกต่างกัน อาจพบข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ จะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแต่ส่งผลต่อการมองเห็น เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและวางแผนการรักษา
 

วิธีสังเกต อาการแบบใดที่เรียกว่า ภาวะหนังตาตก

  • รู้สึกหนักๆ ที่เปลือกตา 
  • สังเกตว่าลืมตาได้ไม่เต็มที่ ตาปรือ และอาจทำให้ทัศนวิสัยลดลง

หนังตาตก เกิดจากอะไร

  • หนังตาตกแต่กำเนิด มักพบตั้งแต่แรกเกิดหรือเด็กเล็ก สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด
  • หนังตาตกเมื่ออายุมากขึ้น เกิดจากกล้ามเนื้อตาที่อ่อนแรงลง
  • หนังตาตกด้วยสาเหตุอื่นๆ เช่น การเกิดอุบัติเหตุมีแผลฉีกขาดที่หนังตา มีเนื้องอกบริเวณเปลือกตา กล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติ

หนังตาตก (Ptosis) กับหนังตาหย่อน (Dermatochalasis) แตกต่างกัน รักษาไม่เหมือนกัน

  • หนังตาหย่อน (Dermatochalasis)
    • ภาวะหนังตาหย่อน (Dermatochalasis) คือ ภาวะที่ผิวหนังมีการหย่อนคล้อย สังเกตได้จากหนังตาจะคล้อยและหย่อนลงมาปิดชั้นตา ทำให้ชั้นตาดูเล็กลงในคนที่มีชั้นตาอยู่เดิม หรือหย่อนมาถึงระดับของขนตาในคนที่เดิมเป็นตาชั้นเดียว ภาวะนี้ไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด แค่อาจทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่นและดูสูงวัย โดยพบได้ตั้งแต่วัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุ
  • หนังตาตก (Ptosis)
    • ภาวะหนังตาตก (Ptosis) คือ ลักษณะของหนังตาที่ตกลงมาปิดบริเวณขอบบนของตาดำมากกว่าปกติ (โดยทั่วไปแล้วหนังตาควรจะอยู่ต่ำกว่าขอบตาบนของตาดำไม่เกิน 1-2 มิลลิเมตร) การมีหนังตาตกจะทำให้ใบหน้าดูง่วงนอนตลอดเวลา ใบหน้าแลดูเศร้าหมอง เช่นเดียวกับภาวะหนังตาหย่อน ในกรณีที่เป็นมากอาจรบกวนการมองเห็นและเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันได้ 

วิธีการรักษาภาวะหนังตาตก

  • รักษาด้วยยา หนังตาตกบางอย่างที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น โรค myasthenia gravis จะรักษาด้วยการให้ยาที่ไปช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาท
  • รักษาด้วยการผ่าตัด 

ผ่าตัดหนังตาตก

ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เป็นหนังตาตกที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ สามารถผ่าตัดช่วยแก้ไขให้ดีขึ้นได้ หลังผ่าตัดสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้าน โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 7 วัน และเข้ามาตัดไหม ในกรณีที่คนไข้มีภาวะหนังตาหย่อนร่วมด้วยก็สามารถแก้ไขได้ในคราวเดียวกัน
 

ข้อห้ามในการผ่าตัดแก้ไขภาวะหนังตาตก

1.    ภาวะสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวย (Uncontrolled Medical Conditions)

  • โรคประจำตัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี โรคความดันโลหิตสูงที่คุมไม่ได้ โรคหัวใจและหลอดเลือดที่รุนแรง หรือโรคไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างและหลังการผ่าตัดได้
  • โรคเลือดออกง่ายผิดปกติ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น Warfarin, Aspirin, Clopidogrel) อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเลือดออกมากระหว่างหรือหลังการผ่าตัด หากรับประทานยาเหล่านี้อยู่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง/โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและการหายของแผลที่ช้าลง
  • การตั้งครรภ์และให้นมบุตร 

2. การติดเชื้อเฉียบพลันบริเวณรอบดวงตาหรือทั่วร่างกาย (Acute Infection) หากมีอาการติดเชื้อที่ตา เช่น เยื่อบุตาอักเสบ ตากุ้งยิง หรือมีการติดเชื้อในร่างกาย เช่น เป็นหวัด มีไข้ แพทย์จะเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด

3. ภาวะตาแห้งรุนแรง (Severe Dry Eye Syndrome) การผ่าตัดแก้ไขหนังตาตก โดยเฉพาะการยกเปลือกตาขึ้นมากเกินไป อาจทำให้ภาวะตาแห้งแย่ลงได้ เนื่องจากเปลือกตาอาจปิดไม่สนิท หรือปริมาณน้ำตาที่เคลือบผิวดวงตาลดลง หากผู้ป่วยมีภาวะตาแห้งรุนแรงอยู่แล้ว แพทย์จะพิจารณาหรืออาจเลือกวิธีการรักษาอื่นที่เหมาะสมกว่า
4. ความผิดปกติของกระจกตาหรือจอประสาทตาที่รุนแรง หากมีปัญหาด้านสายตาที่รุนแรงอยู่แล้ว การผ่าตัดหนังตาตกอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาการมองเห็นทั้งหมดได้
5. การสูบบุหรี่ แม้จะไม่ใช่ข้อห้ามเด็ดขาด แต่การสูบบุหรี่สามารถเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น การหายของแผลที่ช้าลง และการติดเชื้อ ดังนั้นแพทย์มักแนะนำให้งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังการผ่าตัด

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดแก้ไขภาวะหนังตาตก

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญต่อผลลัพธ์ของการรักษา การฟื้นตัว และการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยมีสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังผ่าตัดแก้ไขภาวะหนังตาตก ดังนี้

  • การขยี้ตาหรือสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น อาจทำให้แผลเปิด ติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้
  • ควรหลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก หรือกิจกรรมที่เพิ่มความดันโลหิต เช่น การยกของหนัก การออกกำลังกายอย่างหนัก การก้มหน้าเป็นเวลานาน การเบ่งถ่ายอุจจาระ การไอหรือจามแรงๆ (ควรพยายามไอหรือจามเบาๆ) อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการตกเลือดหรืออาการบวมมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการล้างหน้าโดยตรง หรือระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าตาในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด หรือจนกว่าแผลจะแห้งและแพทย์อนุญาต อาจใช้วิธีเช็ดหน้าแทน
  • ควรงดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการระคายเคือง
  • ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะจะส่งผลให้แผลหายช้า เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ และอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น  
  • ควรงดใส่คอนแทคเลนส์อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต เพื่อป้องกันการระคายเคืองและติดเชื้อที่ดวงตา
     

อาการที่ต้องรีบมาพบแพทย์

  • มีอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่ทุเลาลงด้วยยาแก้ปวด
  • แผลมีเลือดออกมากผิดปกติ
  • มีไข้สูง
  • มีอาการตาแดง ปวดตา ตามัวลง หรือมีขี้ตาเป็นหนอง
  • แผลบวม แดง ร้อน หรือมีน้ำเหลืองไหลออกมาผิดปกติ
  • เปลือกตาปิดไม่สนิท หรือมีอาการตาแห้งรุนแรง

การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และการสังเกตอาการผิดปกติอยู่เสมอ จะช่วยให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดแก้ไขภาวะหนังตาตกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การป้องกันภาวะหนังตาตก

ส่วนใหญ่ภาวะหนังตาตกไม่สามารถป้องกันได้ แต่สามารถสังเกตด้วยตัวเอง หรือ เข้ารับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้พบภาวะหนังตาตกและรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรก

คะแนนบทความ