ฝ้าเกิดจากอะไร? ไขคำตอบเพื่อผิวสวยใส

• ฝ้า (Melasma) คือ เม็ดสีในผิวหนังที่ถูกสร้างขึ้นมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดปื้นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ แต่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ทำให้เกิดอาการอย่างอื่น 
• ปัจจุบันนี้มีวิธีการรักษาหลากหลายวิธี ตั้งแต่การทายา การรับประทานยา การทำทรีตเม้นต์ต่าง ๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิว ผลักวิตามินเข้าสู่ผิว การใช้เลเซอร์ ยาฉีดที่ผิวหนังบางชนิด ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหาและรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคล

ปัญหาเรื่องรอยคล้ำจุดด่างดำบนใบหน้า นับเป็นปัญหากวนใจใครหลาย ๆ คน ซึ่งค่านิยมสมัยใหม่มักจะเทคะแนนให้กับคุณสุภาพสตรีที่ใบหน้าขาวใส ปราศจากจุดด่างดำ ดังนั้นผู้หญิงคนไหนที่มีปัญหาเรื่องฝ้าบนใบหน้า ก็จะรู้สึกไม่สบายใจ และไม่มั่นใจขึ้นมาทันที

ฝ้า (Melasma) คือ เม็ดสีในผิวหนังที่ถูกสร้างขึ้นมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดปื้นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ บางคนสีอ่อนบางคนสีเข้ม แตกต่างกันไป จะเกิดขึ้นบนใบหน้า บริเวณที่พบฝ้าได้บ่อยคือ โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก หน้าผากและพบมากในผู้หญิงเอเชีย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยกลางคน อายุประมาณ 30-40 ปี

แสงแดดเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดยรังสียูวีเอและยูวีบีในแสงแดด เป็นตัวการสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า อีกทั้งยังมีเรื่องของฮอร์โมน โดยเฉพาะในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ รวมทั้งปัจจัยทางกรรมพันธุ์ก็มีส่วนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น คนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ต้องโดนรังสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ บางคนอาจจะทำอาหารต้องอยู่หน้าเตาไฟบ่อย ๆ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลทำให้เกิด ฝ้า ได้ทั้งสิ้น

หลัก ๆ แล้ว ฝ้าจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ ฝ้าตื้น เป็นความผิดปกติของเม็ดสีที่ผิวหนังชั้นบน ฝ้าชนิดนี้มีลักษณะเป็นสีน้ำตาล และ มักมีขอบเขตชัดเจน อีกหนึ่งชนิดคือ ฝ้าลึก เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีที่ผิวหนังชั้นหนังแท้ ที่อยูลึกลงไปอีก ฝ้าชนิดนี้มักจะมีสีน้ำตาลอมเทา หรือ สีม่วงอมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัดเจน รักษาได้ยากกว่าชนิดแรก

อายุมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เพราะอายุที่มากขึ้นย่อมได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง การถูกแสงแดด การถูกรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น จะสะสมทำให้กระตุ้นการเกิดฝ้าได้มากขึ้นด้วย 

ฝ้า ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ ไม่จำเป็นต้องรักษา ฝ้าส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดอาการอย่างอื่น จะมีปัญหาก็เฉพาะในด้านความสวยงามเท่านั้น

• หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด ช่วงเวลา 10.00 – 14.00 น. และหมั่นทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันรังสี UV
• หลีกเลี่ยงการรับประทานยาคุมและเลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแทนหรือปรึกษาแพทย์
• ทายารักษาฝ้า โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เช่น กลุ่ม hydroquinone, tretinoin, corticosteroid เป็นต้น
• การผลัดผิวด้วยกรดอ่อน เช่น กรด AHA เป็นต้น
• การรับประทานยา หรือฉีดยาเข้าบริเวณที่เป็นฝ้า
• การใช้เลเซอร์ต่างๆ เช่น Crystal bright หรือ Pico Laser เป็นต้น

ปัจจุบันนี้มีวิธีการรักษาฝ้า หลากหลายวิธี ตั้งแต่การทายา การรับประทานยา การทำทรีตเมนต์ต่าง ๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิว ผลักวิตามินเข้าสู่ผิวหนัง การใช้เลเซอร์ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งจะใช้วิธีไหนนั้น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ประเมินปัญหาและทำการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า ความรุนแรงของปัญหา และกิจวัตรประจำวันของคนไข้ เป็นราย ๆ ไป

• Crystal Laser นวัตกรรมเลเซอร์ช่วยผิวหน้ากระจ่างใส ไร้เม็ดสีที่กวนใจ โดยผสมผสานเลเซอร์ 2 สี ที่ทรงประสิทธิภาพในการรักษาภาวะความผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน เส้นเลือดแดงบนหน้าและรอยแผลเป็นแดงจากสิวไปพร้อมกัน ช่วยให้ฝ้า รอยแดง รอยดำต่างๆ จางลง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของผิวหนัง ทำให้รูขุมขนกระชับ ลดเลือนริ้วรอยโดยไม่ทำให้อันตรายแก่ผิวชั้นบน
• Pico Laser หรือ Picosecond Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีหน่วยค่าพลังงานเป็น Picosecond ถือเป็นนวัตกรรมในการช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการลบเม็ดสี จุดด่างดำ เนื่องจากค่าพลังงานของ Pico Laser สามารถช่วยกำจัดเม็ดสีเมลานินและช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในผิว ช่วยปรับผิวให้มีความเรียบเนียน และด้วยค่าพลังงานที่สูงของเครื่อง Pico Laser จึงทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ไวกว่าเครื่องเลเซอร์แบบอื่นๆ ทั้งยังเป็นเทคโนโลยีมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากตัวเครื่องจะทำลายแค่เม็ดสีที่เฉพาะเจาะจงโดยไม่ทำลายหรือรบกวนเนื้อเยื่ออื่น ๆ  ให้เกิดความเสียหายอีกด้วย

ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าใครรู้สึกว่า ฝ้า ที่เป็นอยู่เริ่มสร้างความกังวลใจให้กับตัวเองมาก ไม่ว่าจะเป็นมากเป็นน้อยก็สามารถมาพบแพทย์ได้ทันที

หากจะใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ในการรักษาหรือกำจัดฝ้า ควรเลือกที่ผ่านมาตรฐานการรับรองมาจาก อย.จะเป็นการดีที่สุด หากไม่มั่นใจ แนะนำว่าให้เข้ามาขอคำปรึกษากับแพทย์ เพื่อประเมินการรักษาที่เหมาะสม