ไข้เลือดออก กับผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง

ไข้เลือดออก กับผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง

HILIGHT:

  • ผู้ป่วยเบาหวานเมื่อติดเชื้อไข้เลือดออก มีโอกาสเสี่ยงป่วยไข้เลือดออกรุนแรง สูงกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เบาหวานอาจทำให้เกิดการอักเสบที่ไม่สมดุล และ ภาวะบาดเจ็บของเซลล์บุหลอดเลือด ส่งผลเพิ่มการรั่วไหลของหลอดเลือด นำมาสู่การเกิดภาวะช็อกจากไข้เลือดออก
  • ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด  ไข้เลือดออกทำให้พลาสมารั่ว ความดันโลหิตลดลง หัวใจต้องทำงานหนัก เสี่ยงหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และอาจนำมาสู่ภาวะช็อก
  • วัคซีนไข้เลือดออก  ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องกระตุ้นซํ้า   ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ 80.2%  ลดโอกาสเกิดโรครุนแรง 85.9%  ลดการนอน โรงพยาบาลได้ถึง 90.4%

ไข้เลือดออกไม่ใช่เพียงโรคประจำถิ่นทั่วไปที่ทุกคนเคยได้ยินมาตลอด เพราะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ โรคไต หรือโรคอ้วน ไข้เลือดออกอาจกลายเป็นโรคที่นำไปสู่การเจ็บป่วยรุนแรง หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตได้

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กลุ่มที่มีอัตราเสียชีวิตสูงสุด คืออายุ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ ไต ปอดเรื้อรัง และโรคอ้วน  

ไข้เลือดออก ทำไมถึงอันตรายสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว

ไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ไวรัสชนิดนี้แบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ (Serotypes) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ และอาการแสดงมีตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะอันตรายถึงชีวิต

ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมักมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการรุนแรง เช่น มีเลือดออกตามผิวหนังหรืออวัยวะภายใน เกล็ดเลือดต่ำ ภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome) หรือภาวะอวัยวะล้มเหลว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลในโรงพยาบาล

  • ไข้เลือดออก ไม่มียารักษาเฉพาะ ปัจจุบันการรักษาเน้นประคับประคองอาการ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การดูแลการไหลเวียนเลือด และการสังเกตภาวะแทรกซ้อน 
  • ผู้ป่วยหลายรายต้องนอนโรงพยาบาล 3–7 วัน และบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะช็อกจากการรั่วของพลาสมา เลือดออกในอวัยวะภายใน ไตวายเฉียบพลัน หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้นได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนทั่วไป
     

โรคประจำตัวที่ทำให้ไข้เลือดออกอันตรายขึ้น

1. เบาหวาน (Diabetes mellitus)

ผู้ป่วยเบาหวานเมื่อติดเชื้อไข้เลือดออก มีโอกาสเสี่ยงป่วยไข้เลือดออกรุนแรง สูงกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เบาหวานอาจทำให้เกิดการอักเสบที่ไม่สมดุล และ ภาวะบาดเจ็บของเซลล์บุหลอดเลือด ส่งผลเพิ่มการรั่วไหลของหลอดเลือด นำมาสู่การเกิดภาวะช็อกจากไข้เลือดออก   
ยิ่งไปกว่านั้น หากควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี (HbA1C > 7) ร่วมกับมีโรคร่วมอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง   โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) โรคหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease) ความเสี่ยงในการเกิดไข้เลือดออกรุนแรง อาจเพิ่มสูงถึง 32 เท่า เมื่อเทียบกับคนสุขภาพดี  

2. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular diseases)

  • ไข้เลือดออกทำให้พลาสมารั่ว ความดันโลหิตลดลง หัวใจต้องทำงานหนัก เสี่ยงหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และอาจนำมาสู่ภาวะช็อก 
  • หากใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด อาจเสี่ยงทำให้โรคประจำตัวกำเริบหรือควบคุมยากขึ้น 
  • นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้เลือดออก มีโอกาสเกิด หัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน  และโรคหลอดเลือดสมอง มากกว่าคนทั่วไป งานวิจัยยืนยันว่า การติดเชื้อไข้เลือดออกสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิด  ภาวะหัวใจและหลอดเลือดเฉียบพลันรุนแรงหลังการติดเชื้อไข้เลือดออก

3. โรคไต (Kidney disease)

ผู้ป่วยโรคไตมีโอกาสเสี่ยงป่วยไข้เลือดออกรุนแรงสูงกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า ไข้เลือดออกทำให้เกิดการรั่วของพลาสมาและเสียสมดุลเกลือแร่ ผู้ป่วยโรคไตจึงเผชิญความเสี่ยงสูงต่อภาวะไตวายเฉียบพลัน 

4. ภาวะอ้วน (obesity) 

มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปที่จะเกิดไข้เลือดออกรุนแรง (severe dengue) มากกว่า 1.5  เท่า จากการอักเสบเรื้อรังและความผิดปกติของหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะพลาสมารั่ว เลือดออก และอวัยวะล้มเหลวได้บ่อยขึ้น

5. โรคปอดเรื้อรัง 

เช่น COPD หรือหอบหืด (Asthma) ก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปที่จะเกิด ไข้เลือดออกรุนแรง (severe dengue) เนื่องจากร่างกายรับมือกับภาวะพร่องออกซิเจนได้ยาก เมื่อเกิดการรั่วของพลาสมาและน้ำท่วมปอดจากไข้เลือดออก จึงมีโอกาสเกิดภาวะหายใจลำบากรุนแรง (respiratory distress) รวมถึงทำให้อัตราการนอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัว

ผู้มีโรคประจำตัวเมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออกมักเผชิญภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและซับซ้อนกว่า ดังนี้

  • ภาวะเลือดออก  มีเลือดออกที่ผิวหนัง เหงือก จมูก หรือภายในอวัยวะ เช่น ทางเดินอาหาร ปอด หรือสมอง
  • ภาวะช็อก  ภาวะช็อกเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยไข้เลือดออกรุนแรง โดยเกิดจากการรั่วของพลาสมาออกนอกหลอดเลือด ส่งผลให้ปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียนลดลง ความดันโลหิตตก และเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญไม่เพียงพอ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะล้มเหลวของอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต หรือสมอง ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต
  • ไตวายเฉียบพลัน  ภาวะไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยไข้เลือดออกรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคไตเรื้อรังอยู่เดิม การเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนโลหิตหรือความไม่สมดุลของเกลือแร่และของเหลวในร่างกาย อาจส่งผลให้การทำงานของไตลดลงอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและควบคุมสมดุลน้ำได้ตามปกติ สามารถกระตุ้นไตวายได้
  • หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลงหรือเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อหัวใจ ภาวะดังกล่าวอาจทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตต่ำ หายใจเหนื่อย และอวัยวะต่าง ๆ ได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ
  • ภาวะอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ (multi-organ failure) โดยเฉพาะในรายที่มีโรคร่วมหลายชนิดอยู่เดิม ร่วมกับภาวะช็อกจากการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือมีการสูญเสียเลือดในปริมาณมาก

ทําไมวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกจึงจําเป็นสำหรับกลุ่มที่มีโรคประจำตัว

  • การป้องกันยุงกัดไม่สามารถทําได้ 100%
  • WHO ระบุว่า ผู้ที่มีโรคร่วม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดไข้เลือดออกรุนแรง ควรได้รับการแนะนําวัคซีน
  • ลดโอกาสในการติดเชื้อและการเจ็บป่วยแบบแสดงอาการ (symptomatic dengue)
  • ลดโอกาสการนอนโรงพยาบาลและเกิดโรครุนแรงจาก severe dengue
  • ลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษา ค่าเสียโอกาสจากการหยุดงานหรืออยู่ในโรงพยาบาล

วัคซีนไข้เลือดออก  ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องกระตุ้นซํ้า

  • ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ 80.2% 
  • ลดโอกาสเกิดโรครุนแรง 85.9% 
  • ลดการนอน โรงพยาบาลได้ถึง 90.4%

แนวทางป้องกันที่ควรปฏิบัติ  ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน 

  • ป้องกันการถูกยุงกัด เช่น สวมเสื้อผ้าที่มิดชิด ใช้อุปกรณ์ไล่ยุงในบ้าน  ทายาป้องกันยุงกัด
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง สำรวจพื้นที่บ้านและชุมชน ไม่ปล่อยให้น้ำขังภาชนะที่เก็บน้ำ เปลี่ยนหรือคลุมภาชนะเก็บน้ำอย่างสม่ำเสมอ 
  • เฝ้าระวังอาการตั้งแต่เริ่มแรก ถ้าพบอาการ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตัว ปวดท้อง อาเจียน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที อย่ารอให้อาการหนัก
  • รักษาโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควบคุมเบาหวานให้ HbA1c อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ควบคุมความดันโลหิต  โรคไต โรคหัวใจ ให้ปกติ  เพราะถ้าเกิดการติดเชื้อไข้เลือดออกจะลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน

Reference

คะแนนบทความ