การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างหนึ่งที่ง่าย ไม่ต้องหาอุปกรณ์อะไรมากมายซึ่งนอกจากจะเพิ่มความฟิตให้ร่างกายแล้ว การวิ่งยังช่วยลดอัตราการเกิดของโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือด แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกชนิดอื่นๆ อีกด้วย
แต่การวิ่งอย่างหักโหม ด้วยความเร็วหรือระยะทางที่มากเกินไป และความเชื่อที่ผิดๆ อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น ก่อนที่จะวิ่งหรือออกกำลังด้วยวิธีใดๆ ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเป็นดีที่สุด
เป็นคำถามยอดฮิตแต่ก็ยังมีหลายคนเข้าใจผิด แม้แต่นักวิ่งเอง บางคนบอกว่าวิ่งลงหน้าเท้าถูก บางคนก็บอกว่าลงส้นเท้าถึงจะถูก แต่จริงๆ แล้วการวิ่งลงหน้าเท้าหรือปลายเท้านั้น อัตราการบาดเจ็บไม่ได้แตกต่างกันเลย เพียงแต่การวิ่งลงหน้าเท้ากับการวิ่งลงส้นนั้นใช้กล้ามเนื้อ และโครงสร้างที่มารับน้ำหนักตัวแตกต่างกันการลงส้นก็จะมีแรงไปกระทำที่เข่ากับสะโพกมากกว่า ส่วนการลงหน้าเท้าก็จะไปหนักที่ข้อเท้ามากกว่าเรื่องการบาดเจ็บในนักวิ่งนั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะท่าวิ่งที่เป็นคำตอบของทุกอย่างทั้งพื้นผิวในการวิ่ง ความหนักความเร็วในการวิ่ง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อฯลฯ ล้วนเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บทั้งหมด ฉะนั้นจึงไม่มีท่าวิ่งที่ตายตัวสำหรับทุกคนขึ้นอยู่กับสรีระ ความถนัดและการปรับเปลี่ยนวิธีการวิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้นักวิ่งระวังและหลีกเลี่ยงคือท่าวิ่งที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ คือ
สาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บส่วนใหญ่ คือ การเพิ่มความเร็วเกินไป เกินจากที่ร่างกายจะรับได้ โดยอาการบาดเจ็บจากการวิ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
จึงสรุปได้ว่ากลุ่มที่อาการบาดเจ็บสัมพันธ์กับระยะทาง จะเกิดกับโครงสร้างที่อยู่ค่อนไปทางด้านหน้า
ส่วนกลุ่มที่สัมพันธ์กับความเร็วจะเกิดแถวๆ เท้า ข้อเท้า จะอยู่ทางด้านหลัง ดังนั้นใครที่บาดเจ็บบริเวณข้อเท้า ก็ลองวิ่งให้ช้าลงหน่อยแต่ถ้าใครบาดเจ็บที่บริเวณเข่า ก็ควรจะวิ่งให้น้อยลง
มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้รองเท้า 3 แบบ แล้ววัดอาการบาดเจ็บ จำนวน 105 คน โดยแบ่งนักวิ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะเท้า ซึ่งในแต่ละกลุ่ม ผู้วิจัยก็ได้แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยอีกที และให้ใช้รองเท้าสำหรับเท้าทั้ง 3 แบบโดยการสุ่มก็คือ คนที่อยู่ในกลุ่มใดก็ตาม ก็มีโอกาสที่จะได้ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะกับเท้าของตัวเอง เช่น คนเท้าแบนมาก ก็มีโอกาสได้ใส่รองเท้าปกติ ปรากฎว่าอัตราการเกิดการบาดเจ็บไม่ได้แตกต่างกันเลย ดังนั้น คำแนะนำเรื่องการเลือกรองเท้าวิ่งตามลักษณะเท้า ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น จึงไม่ได้มีความจำเป็น แต่ควรเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด
และสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งได้ คือ ควรมีรองเท้าใส่วิ่งมากกว่า 1 คู่ เพราะรองเท้าแต่ละคู่ แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ก็มีความแตกต่างกันออกไป เวลาที่ใส่รองเท้าคู่หนึ่ง ท่าวิ่งหรือโครงสร้างของร่างกายที่รับแรงกระแทกก็เป็นแบบหนึ่ง วันนี้อาจจะ support กล้ามเนื้อมัดนี้ พรุ่งนี้อาจจะ support อีกมัดหนึ่ง ช่วยกันกระจายแรงกระแทก ไม่ทำให้เกิดแรงกระแทกซ้ำๆ ที่เดิม จึงช่วยลดการบาดเจ็บได้ เพราะการบาดเจ็บจากการวิ่งหลักๆ คือ แรงกระแทกที่ถูกทำซ้ำๆ อยู่ที่เดิมนั่นเอง
มีงานวิจัยรองรับว่า การวิ่งไม่ได้ทำให้ข้อเสื่อมแต่ยังช่วยป้องกันได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องวิ่งให้ถูกวิธี หากคนที่น้ำหนักตัวไม่มากถึงแม้มีอาการปวดเข่าอยู่บ้างก็สามารถวิ่งได้ เพราะคนที่ข้อเข่าเสื่อมมักจะมีน้ำหนักตัวมาก ทำให้เข่าต้องแบกรับน้ำหนักเยอะ จึงเกิดข้อเข่าเสื่อมได้ง่าย ถ้าน้ำหนักมากแล้วมีอาการปวดเข่าด้วย หากเริ่มวิ่งเลยอาจจะไม่ไหว ก็จะแนะนำให้ออกกำลังกายแบบอื่นก่อน เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เมื่อลดน้ำหนักได้ประมาณ 5-10% จึงค่อยเริ่มวิ่ง ซึ่งการวิ่งจะสามารถช่วยลดอาการปวดเข่าได้อีกด้วย
เรื่องอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง ในบางคนที่เริ่มเป็นใหม่ๆ อาจรู้สึกว่าไม่มาก อาจดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย และนักวิ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะยอมหยุดวิ่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะจริงๆ แล้ว การบาดเจ็บน้อยๆ สามารถรักษาได้ง่าย อาจไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ก็ได้ ขอให้รู้จักตัวเอง ถ้ารู้สึกว่าบาดเจ็บก็ควรจะหยุดวิ่ง ทำยังไงก็ได้เพื่อให้หายจากการบาดเจ็บนี้ก่อนอย่าปล่อยให้เรื้อรัง แล้วจะได้วิ่งกันอย่างมีความสุขตลอดไป