มะเร็งรังไข่…ภัยเงียบที่น่ากลัว

มะเร็งรังไข่…ภัยเงียบที่น่ากลัว

เมื่อพูดถึงมะเร็ง สาวๆ มักจะนึกไปถึง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกอันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของสาวไทย แต่มีมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่สาวๆ ไม่ควรมองข้าม เพราะจากสถิติพบว่ามะเร็งที่ว่านี้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิง ในประเทศที่กำลังพัฒนาพบได้ประมาณ 5 คนต่อประชากรหญิง 1 แสนคน มะเร็งที่กล่าวมานี้ก็คือ มะเร็งรังไข่” นั่นเอง

มะเร็งรังไข่พบได้มากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี มักพบในช่วงอายุ 40-60 ปี ส่วนในเด็กก่อนหรือหลังวัย 10 ปีก็อาจพบได้บ้าง โดยมักไม่ค่อยตรวจเจอมะเร็งรังไข่ในระยะต้นๆ จะมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ในระยะท้ายๆ แล้ว ฉะนั้นอย่ารอจนสายเกินไป มาทำความรู้จักความเป็นไปของโรคมะเร็งรังไข่กันดีกว่า

ปัจจัยเสี่ยงโรคมะเร็งรังไข่

แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงของโรค อาทิ

  • สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศอุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าประเทศเกษตรกรรม
  • ผู้หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรจำนวนน้อย
  • ความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • มีประจำเดือนเร็วคืออายุต่ำกว่า 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้าคือช้ากว่าอายุ 55 ปี
  • ได้รับยากระตุ้นการตกไข่ในภาวะมีบุตรยาก
  • ได้รับยาฮอร์โมนเพศชดเชยในช่วงวัยหมดประจำเดือน
  • โรคอ้วน ผู้หญิงที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่าหรือเท่ากับ 30 อาจมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่มากขึ้น

อาการของโรคมะเร็งรังไข่

โรคมะเร็งรังไข่ไม่มีอาการแสดงที่เฉพาะเจาะจงในระยะ โดยอาจมีอาการคล้ายกับโรคอื่นๆ ทั่วไปได้

  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
  • ท้องโตขึ้น แน่นท้อง
  • ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือปัสสาวะลำบาก จากการที่ก้อนมะเร็งกดเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ
  • ปวดท้องน้อย แต่พอทนได้
  • ท้องผูก จากก้อนมะเร็งกดเบียดทับลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่

เมื่อโรคดำเนินไปในระยะที่รุนแรงมากขึ้นจนอาจถึงขั้นอยู่ในระยะลุกลาม ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการดังต่อไปนี้

  • คลำพบก้อนเนื้อในท้องน้อย
  • ปวดท้องน้อยรุนแรง เนื่องจากอาจเกิดการบิดหรือแตกของก้อนมะเร็ง
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ มาบ้างไม่มาบ้าง
  • เจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • บางรายอาจพบการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น เสียงห้าว มีหนวด หรือขนขึ้ตามลำตัวคล้ายผู้ชาย เนื่องจากผลของมะเร็งรังไข่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศผิดปกติไป
  • อิ่มง่าย เบื่ออาหาร
  • หากมะเร็งกระจายตัวไปตามอวัยวะอื่นๆ แล้ว จะทำให้น้ำหนักลด ตัวเหลือง ตาเหลือง ขาบวม หายใจขัด เป็นต้น
  • หากเซลล์มะเร็งมีการกระจายไปในช่องท้อง อาจทำให้เกิดน้ำในช่องท้อง ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนอ้วนขึ้น ท้องโตขึ้นกว่าเดิมได้

การวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่ที่มีประสิทธิภาพในการตรวจให้พบตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ การรีบพบสูตินรีแพทย์เสมอเมื่อมีความผิดปกติของประจำเดือน หรือคลำได้ก้อนเนื้อในช่องท้องน้อย หรือเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ ทั้งนี้เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่นๆ

อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่เจริญแล้วกำลังมีการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อให้สามารถค้นพบวิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งรังไข่ที่มีประสิทธิภาพ สามารถพบโรคได้ตั้งแต่ในระยะยังไม่มีอาการ ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาสูงขึ้น จนสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ในผู้ที่แพทย์ประเมินแล้วว่ามีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ เช่น ในหญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรงเป็นมะเร็งรังไข่ โดยเฉพาะที่ตรวจพบโรคได้ในอายุก่อน 50 ปี แพทย์มักเฝ้าติดตามผู้มีปัจจัยเสี่ยงนั้นอย่างใกล้ชิด ผ่านการสอบถามอาการ การตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจภายใน และอาจมีการตรวจภาพช่องท้องด้วยอัลตราซาวด์ร่วมกับการตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็ง (tumor marker) ที่สัมพันธ์กับมะเร็งรังไข่ ซึ่งความถี่ในการตรวจอัลตราซาวด์และการตรวจเลือดจะขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์

ดังนั้นคุณผู้หญิงทุกคนอย่าละเลยการตรวจภายในเป็นประจำทุกๆ ปี เพราะถ้าเจอว่ามีก้อนรังไข่โตแต่แรกๆ ก็น่าจะเป็นแค่ระยะต้นของโรค การรักษาก็ง่ายกว่าและโอกาสหายขาดก็สูงกว่า

การรักษาโรคมะเร็งรังไข่

การรักษามะเร็งรังไข่มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะของโรค ส่วนมากมักทำการรักษาตามอาการ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ผู้ทำการรักษาด้วย ซึ่งการรักษามะเร็งรังไข่สามารถแบ่งเป็นวิธีหลักๆ ได้แก่  

การผ่าตัด อาจมีการผ่าตัดตั้งแต่แรกเพื่อดูระยะหรือการลุกลามของมะเร็ง ในกรณีผ่าตัดเพื่อการรักษา แพทย์จะตัดเนื้องอกออกให้มากที่สุด ซึ่งการผ่าตัดจะส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก และจะเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยยังต้องการมีบุตร แพทย์อาจตัดเฉพาะรังไข่และท่อนำไข่ด้านที่เป็นมะเร็ง

ในกรณีที่มะเร็งเกิดการแพร่กระจายไปมาก ภายหลังการตัดรังไข่เอาเนื้องอกออกไปแล้ว อาจจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

เคมีบำบัด  แพทย์อาจให้ยาเคมีทางช่องที่มีอวัยวะภายในช่องท้อง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นกับระยะและชนิดของมะเร็ง

รังสีรักษา ในที่นี้จะมีทั้งการฉายรังสีจากภายนอกร่างกาย และการฝังแร่ในร่างกาย โดยการพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นกับระยะของโรคและชนิดของมะเร็ง

ทาแป้งจุดซ่อนเร้น เสี่ยงมะเร็งรังไข่หรือไม่?

แป้งเด็กบางชนิดอาจมีสารทัลคัม (Talcum Powder) ซึ่งผลิตมาจากการนำหินทัลคัมมาโม่ละเอียด เสร็จแล้วกรองเอาสิ่งแปลกปลอมและฆ่าเชื้อ อบแห้ง จนมาเป็นแป้งฝุ่น ซึ่งเจ้าแร่หินทัลคัมชนิดนี้ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติ จึงอาจทำให้เกิดการสะสมจนก่อให้เกิดอันตราย สาว ๆ ที่ชอบใช้แป้งฝุ่นทาลดความอับชื้นบริเวณน้องสาว ฝุ่นแป้งและสารทัลคัมอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ และช่องท้อง ซึ่งก็มีงานวิจัยเตือนว่าอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไม่โรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้นก็น่าจะปลอดภัยและสบายใจมากกว่า

คะแนนบทความ