อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) ปวดท้อง อาเจียนหนัก ถ่ายเหลว อย่าปล่อยไว้

อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) ปวดท้อง อาเจียนหนัก ถ่ายเหลว อย่าปล่อยไว้

Highlight

  • อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) คือภาวะที่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือสารพิษที่เกิดจากจุลินทรีย์
  • ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ภาวะอาหารเป็นพิษมักหายเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์ แต่หากมีอาการถ่ายเหลวเกิน 3 วัน หรือถ่ายมากกว่า 6 ครั้งในหนึ่งวัน  ไข้สูงกว่า 38.9 องศาเซลเซียส ท้องเสีย คลื่นไส้ เวียนหัว พะอืดพะอม อาเจียน ควรไปพบแพทย์โดยด่วน
     

อาหารเป็นพิษ คืออะไร

อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) คือภาวะที่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือสารพิษที่เกิดจากจุลินทรีย์ ทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย   บางครั้งพบในผู้ป่วยหลายรายที่รับประทานอาหารร่วมกัน อาการสามารถแสดงอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารหรือหลายวันจนถึงสัปดาห์ ทั้งนี้ แต่ละคนอาจมีระยะเวลาในการตอบสนองต่อการติดเชื้อหรือสารพิษและมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันได้

อาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือสารเคมีอันตรายสามารถก่อให้เกิดโรคได้มากกว่า 200 ชนิด ตั้งแต่อาการท้องร่วงไปจนถึงโรคมะเร็ง อีกทั้งยังก่อให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบโดยเฉพาะกับทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ 

อาหารเป็นพิษเกิดจากสาเหตุใด

อาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือสารพิษตามธรรมชาติทั้งโลหะหนักและสารพิษที่สัตว์สร้างขึ้น 


เชื้อก่อโรคที่พบในอาหารและอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษในประเทศไทยในประเทศไทย อาหารเป็นพิษเป็นปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุข ซึ่งมักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร โดยเชื้อที่พบได้บ่อยมีดังนี้
  1. เชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคในอาหาร
  • Salmonella spp. พบในไข่ดิบ เนื้อสัตว์ดิบ หรือปรุงไม่สุก อาจปนเปื้อนในนมดิบและผลิตภัณฑ์จากนม
  • Escherichia coli (E. coli) พบในเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก ผักสด และน้ำที่ปนเปื้อน  อาจพบในอาหารที่สัมผัสกับอุจจาระของสัตว์หรือคน  อาการที่พบคือ ท้องเสีย ปวดท้อง บางสายพันธุ์อาจทำให้ไตวาย
  • Vibrio parahaemolyticus  พบในอาหารทะเลดิบหรือปรุงไม่สุก เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา อาจปนเปื้อนจากน้ำทะเล อาการที่มักพบคือ ท้องเสียอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน
  • Bacillus cereus พบในข้าว อาหารที่มีแป้ง และอาหารที่ปล่อยทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกินไป ทำให้มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
  • Staphylococcus aureus พบในอาหารที่สัมผัสกับมือของผู้ปรุง เช่น ขนมจีน ซูชิ ขนมเอแคลร์ อาจปนเปื้อนจากแผลที่มือของผู้ปรุงอาหาร  อาการที่พบคือ อาเจียนเฉียบพลัน ปวดท้อง
  • Clostridium perfringens พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น สตู พาย เนื้อสัตว์แปรรูป  มักเกิดจากการเก็บรักษาอาหารที่ไม่เหมาะสม  อาการคือ ปวดท้อง ท้องเสีย น้ำหนักลด

2. เชื้อไวรัสที่ก่อโรคในอาหาร

  • Norovirus พบในอาหารทะเล ผักสด ผลไม้สด  พบได้บ่อยในเด็ก ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว มีไข้
  • Rotavirus จากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน ทำให้ถ่ายเหลว ปวดท้อง มีไข้ บางครั้งอาจจะถ่ายเหลวปริมาณมากหรือนานได้ พบได้บ่อยในเด็กแต่ช่วงหลังพบการระบาดในผู้ใหญ่เป็นระยะ
  • Hepatitis A virus (ไวรัสตับอักเสบเอ) พบในอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระ เช่น ผักสด หอยดิบ อาการที่พบคือ เบื่ออาหาร ไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้อง

3. พยาธิและเชื้ออื่นๆ ที่ปนเปื้อนในอาหาร

  • พยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini) พบในปลาน้ำจืดที่ดิบหรือปรุงไม่สุก เช่น ก้อยปลา ปลาร้า อาการ  ท้องอืด แน่นท้อง เสี่ยงต่อมะเร็งท่อน้ำดี
  • พยาธิตัวจี๊ด (Gnathostoma spinigerum) พบในปลาดิบ กบ งู หรือสัตว์น้ำที่ดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ  อาการอาการแพ้ ผื่นคัน อักเสบของผิวหนัง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเป็นพิษ
  1. เวลา แบคทีเรียสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว ในสภาวะที่เหมาะสม 
  2. อุณหภูมิ แบคทีเรียเติบโตได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 5 °C ถึง 60 °C   ดังนั้น จึงควรเก็บอาหารที่เสียง่ายให้อยู่ในสภาวะเย็นจัดหรือร้อนจัดเพื่อป้องกันแบคทีเรียเติบโต
  3. สารอาหาร อาหารหลายชนิด เช่น นม ไข่ เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และอาหารทะเล มีสารอาหารที่เพียงพอให้แบคทีเรียเติบโต
  4. น้ำ แบคทีเรียต้องการน้ำในการเจริญเติบโต อาหารแห้งจึงไม่เน่าเสียง่าย เพราะไม่มีน้ำให้แบคทีเรียเติบโตได้
  5. ค่าพีเอช (pH) หรือความเป็นกรด-ด่างของอาหารมีผลต่อการเติบโตของแบคทีเรีย สภาวะที่มีค่าพีเอชต่ำ (สภาพเป็นกรด) มักจะหยุดการเติบโตของแบคทีเรีย แต่ถ้าอาหารมีค่าพีเอชเป็นกลาง ซึ่งพบในอาหารหลายชนิด แบคทีเรียจะเติบโตได้ดี

การควบคุมปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากอาหารเป็นพิษและทำให้อาหารปลอดภัย


อาหารเป็นพิษ อาการ

อาการของอาหารเป็นพิษมักเกิดภายในไม่กี่ชั่วโมงหรืออาจเป็นวันหลังได้รับสารพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น 

  • พะอืดพะอม คลื่นไส้  อาเจียน 
  • ถ่ายเหลว โดยอาจจะมีอาการถ่ายเป็นน้ำ มีมูกหรือเลือดปน หรือมีลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าว หรือมีกลิ่นคาวผิดปกติ 
  • อาการปวดบิดท้อง 
  • มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย 
  • ปวดศีรษะ 
  • อ่อนเพลีย

อาการอาหารเป็นพิษที่ควรมาพบแพทย์โดยด่วน

ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ภาวะอาหารเป็นพิษมักหายเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์ แต่หากมีอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์โดยด่วน

  • อาการท้องเสีย ถ่ายเหลวที่ไม่ดีขึ้นหลัง 3 วัน หรือถ่ายมากกว่า 6 ครั้งในหนึ่งวัน
  • ภาวะไข้สูง โดยเฉพาะสูงกว่า 38.9 องศาเซลเซียส
  • อาการของการขาดน้ำรุนแรง เช่น ปากและเยื่อบุแห้ง ปัสสาวะออกน้อย ปัสสาวะสีเข้มมาก หรือปัสสาวะไม่ออกเป็นเวลามากกว่า 6 ชั่วโมง
  • ไม่สามาารถดื่มน้ำทดแทนการเสียน้ำได้
  • ถ่ายเหลว หรืออาเจียน เป็นเลือด
  • ปวดท้องรุนแรง
  • ซึม สับสน
  • วิงเวียน หน้ามืด โดยเฉพาะสัมพันธ์กับการลุกนั่ง เปลี่ยนท่าทาง

การวินิจฉัยอาหารเป็นพิษ

มักใช้การวินิจฉัยจากประวัติและการตรวจร่างกาย การสังเกตและให้ประวัติเกี่ยวกับอาการและลักษณะของอุจจาระอาจช่วยในการวินิจฉัยเชื้อที่เป็นสาเหตุได้ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการตรวจเลือด หรือตรวจอุจจาระเพื่อตรวจหาชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ แต่บางครั้งก็ไม่สามารถบอกชนิดของเชื้อที่ทำให้เกิดอาการได้

อาหารเป็นพิษ รักษาอย่างไร

อาหารเป็นพิษส่วนใหญ่สามารถหายเองได้โดยการดูแลตนเองและรักษาตามอาการ เช่น 

  • การดื่มน้ำหรือน้ำผสมเกลือแร่มาก ๆ เพื่อทดแทนการเสียน้ำ 
  • การรับประทานยาลดไข้เพื่อรักษาอาการไข้ ปวดศีรษะ หรือปวดตามร่างกาย 
  • การพักผ่อนให้เพียงพอ งดอาหารที่อาจทำให้อาการแย่ลง เช่น อาหารรสจัด อาหารมัน ของทอด อาหารที่ปรุงไม่สุก ผักหรือผลไม้สด 
     

อาหารเป็นพิษ กินยาอะไร

  • การรับประทานยาสามัญประจำบ้านเพื่อบรรเทาอาการ เช่น อาการปวดท้อง อาเจียน 
  • การรับประทานยาคาร์บอนหรือผงถ่าน สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ในผู้ป่วยที่มีอาการอาหารเป็นพิษจากสารพิษหรือสารเคมีบางชนิด 
  • อาหารเป็นพิษจากเชื้อบางชนิดต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อในการรักษา 
  • ไม่แนะนำให้รับประทานยาหยุดถ่าย โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กและผู้ที่สงสัยภาวะอาหารเป็นพิษจากการติดเชื้อ
     

อาหารเป็นพิษอันตรายถึงชีวิตหรือไม่

ถึงแม้ว่าผู้ป่วยอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ แต่มีผู้ป่วยบางส่วนที่มีโอกาสเกิดอาการรุนแรง ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะอาหารเป็นพิษที่มีอาการรุนแรง เช่น 

  • ผู้ป่วยเด็กโดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี เนื่องจากภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่
  • ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี
  • หญิงตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงของภูมิคุ้มกันได้ รวมถึงยาที่ใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ก็มีความจำกัดมากกว่าในผู้ป่วยทั่วไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่ใช้ยา เช่น กลุ่มสเตียรอยด์หรือยาที่กดภูมิคุ้มกัน 

การป้องกันภาวะอาหารเป็นพิษ

ภาวะอาหารเป็นพิษสามารถป้องกันได้โดยการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยและการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้

1. การเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัย

  • เลือกรับประทานอาหารที่ ปรุงสุก สด และสะอาด
  • เลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีการจัดเก็บที่ถูกสุขลักษณะ
  • หลีกเลี่ยง อาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ปลาดิบ หอยดิบ ไข่ดิบ เนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก

2. การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล

  • ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ  ก่อนรับประทานอาหาร   หลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง หรือสิ่งสกปรก หลังเข้าห้องน้ำ แนะนำล้างมือด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ ก็สามารถช่วยได้ แต่เชื้อโรคบางชนิดแอลกอฮอล์ ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ เช่น Norovirus และ Rotavirus

3. การจัดเก็บและเตรียมอาหารอย่างปลอดภัย

  • ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ก่อนรับประทานหรือนำมาประกอบอาหาร
  • แยกอุปกรณ์สำหรับอาหารดิบและอาหารสุก ไม่ใช้เขียง มีด และภาชนะร่วมกันระหว่างเนื้อสัตว์ดิบ ผัก และอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
  • เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม  
    • รักษาอุณหภูมิของตู้เย็นให้อยู่ในช่วง 0-4°C
    • แช่แข็งเนื้อสัตว์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า -18°C
    • หลีกเลี่ยงการเก็บอาหารที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลานานกว่า 1-2 ชั่วโมง
  • อาหารส่วนใหญ่ควรปรุงที่อุณหภูมิอย่างน้อย 75 °C

4. หลีกเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน

  • อาหารที่เก็บไว้นาน ค้างคืน หรือวางในอุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน
  • นมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์
  • อาหารที่ใส่กะทิ ซึ่งเน่าเสียง่าย
  • ส้มตำ ยำ อาหารทะเลที่ไม่สดหรือปรุงไม่สุก
  • ขนมจีน อาหารหมักดอง
  • ผักสลัด น้ำหรือน้ำแข็งจากแหล่งที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • เนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก 
  • น้ำผลไม้ หรือผลไม้ที่ไม่แน่ใจความสะอาดของผู้ประกอบอาหาร

References

คะแนนบทความ