Renal Denervation (RDN) เทคโนโลยีรักษาความดันโลหิตสูงโดยไม่ต้องเพิ่มยา

Renal Denervation (RDN) เทคโนโลยีรักษาความดันโลหิตสูงโดยไม่ต้องเพิ่มยา

HIGHLIGHTS:

  • การรักษาความดันโลหิตสูงจะเริ่มจากการปรับพฤติกรรม ร่วมกับการใช้ยาลดความดันตามแพทย์สั่ง แต่พบว่าผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ หรือที่เรียกว่า ความดันโลหิตสูงดื้อยา
  • ความดันโลหิตสูงดื้อยา (Resistant Hypertension) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยยังคงมีความดันสูงเกินเป้าหมาย แม้ใช้ยาลดความดันอย่างน้อย 3 ชนิด รวมถึงยาขับปัสสาวะในขนาดที่เหมาะสม
  • Renal Denervation (RDN) คือ หัตถการที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการรักษา ภาวะความดันโลหิตสูงดื้อยา สามารถช่วยลดความดันได้เฉลี่ย 8–10 mmHg ในค่าความดันตัวบน (systolic BP) และผลลดความดันคงอยู่ยาวนานเกิน 3 ปีขึ้นไป

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัญหาสุขภาพที่คนทั่วโลกต้องเผชิญ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) พบว่ามีผู้ป่วยทั่วโลกมากกว่า 1,280 ล้านคน และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก จึงถูกขนานนามว่า “เพชฌฆาตเงียบ” (Silent Killer) เพราะสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหัวใจวาย หลอดเลือดสมองตีบหรือแตก (Stroke) และ ไตวายเรื้อรัง 

ความดันโลหิตสูงดื้อยา (Resistant Hypertension) คืออะไร

โดยทั่วไป การรักษาความดันโลหิตสูงจะเริ่มจากการปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมกับการใช้ยาลดความดันตามแพทย์สั่ง แต่พบว่าผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ หรือที่เรียกว่า ความดันโลหิตสูงดื้อยา (Resistant Hypertension) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยยังคงมีความดันสูงเกินเป้าหมาย แม้ใช้ยาลดความดันอย่างน้อย 3 ชนิด รวมถึงยาขับปัสสาวะในขนาดที่เหมาะสม

ปัจจุบันมีทางเลือกใหม่ที่ช่วยผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ Renal Denervation (RDN) ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการลดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมความดันโลหิต โดยใช้หลักการยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทรอบหลอดเลือดแดงไตที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการหดตัวของหลอดเลือดและเพิ่มความดันโลหิตโดยตรง

กลไกการทำงานของ RDN

ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต เส้นประสาทรอบหลอดเลือดแดงไต (Renal sympathetic nerves) ส่งสัญญาณไปยังกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่

  • กระตุ้นให้ไตหลั่ง Renin ซึ่งเพิ่มกิจกรรมของระบบ Renin–Angiotensin–Aldosterone System (RAAS) ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดและกักเก็บโซเดียม-น้ำ
  • เพิ่มการดูดกลับโซเดียมที่ท่อไต ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลเวียนในร่างกายมากขึ้น
  • กระตุ้นการหดเกร็งของหลอดเลือดโดยตรง

Renal Denervation (RDN) คืออะไร

Renal Denervation (RDN) คือ หัตถการที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการรักษา ภาวะความดันโลหิตสูงดื้อยา โดยแพทย์จะทำการใส่สายสวน (Catheter) ผ่านทาง หลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณขาหนีบ เพื่อเข้าสู่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไต (Renal Artery) เมื่อสายสวนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แพทย์จะปล่อยพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น คลื่นวิทยุ (Radiofrequency Ablation) หรือ คลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound Energy) พลังงานเหล่านี้จะเข้าไปทำลายเส้นประสาทรอบหลอดเลือดแดงไตบางส่วน ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต ผลลัพธ์คือ การส่งสัญญาณประสาทระหว่างสมองและไตลดลง ทำให้การหลั่งสารที่กระตุ้นความดันลดลงไปด้วย ส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยั่งยืนในระยะยาว


รูปภาพอ้างอิงจากเว็บไซต์ https://www.cirse.org/patients/general-information/ir-procedures/renal-denervation/

วิธีการทำหัตถการ RDN

  1. การเตรียมผู้ป่วย
    • ตรวจประเมินสภาพร่างกายโดยรวม
    • ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อย 24 ชั่วโมง (Ambulatory BP monitoring)
    • ตรวจประเมินการทำงานของไตและสภาพหลอดเลือด
  2. ขั้นตอนการทำ
    • ใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยากล่อมประสาท
    • สอดสายสวนเข้าทางหลอดเลือดแดงต้นขา (Femoral artery)
    • เลื่อนสายสวนไปยังหลอดเลือดแดงที่ไต
    • ปล่อยพลังงานเพื่อจี้เส้นประสาทรอบผนังหลอดเลือด
    • ใช้เวลาประมาณ 40–60 นาที
  3. หลังทำหัตถการ
    • ผู้ป่วยพักฟื้นในโรงพยาบาล 1 คืน
    • สังเกตอาการเจ็บหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกหรือการอุดตันของหลอดเลือด
    • ติดตามความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง

ข้อบ่งชี้ในการทำ RDN

แนวทางของ European Society of Cardiology (ESC) 2023 และ American Heart Association (AHA) แนะนำว่า RDN อาจพิจารณาในผู้ป่วยกลุ่มต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิด รวมถึงยาขับปัสสาวะ แต่ยังไม่สามารถควบคุมความดันได้
  • ผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนต่อยาได้ หรือมีผลข้างเคียงจากยา
  • ผู้ป่วยที่ยังคงมีความดันสูงต่อเนื่อง แม้จะรับประทานยาและรักษาอย่างดีแล้ว
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจล้มเหลว ไตวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง

ผลลัพธ์จากงานวิจัย

งานวิจัยที่สำคัญ เช่น

  • SYMPLICITY HTN-3 trial (2014, NEJM) เป็นการศึกษาแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ที่แสดงว่า RDN ปลอดภัย แต่ผลลดความดันไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม งานวิจัยภายหลังได้ปรับเทคนิคและอุปกรณ์จนได้ผลที่ดีขึ้น
  • SPYRAL HTN-OFF MED และ SPYRAL HTN-ON MED trials (2017–2018) พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับ RDN มีการลดลงของความดันโลหิตทั้งในและนอกสถานพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญ
  • RADIANCE-HTN TRIO trial (2021, Lancet) ยืนยันว่า RDN สามารถลดความดันโลหิตได้อย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยที่มีความดันที่ควบคุมยาก

โดยสรุป งานวิจัยระยะยาวบ่งชี้ว่า RDN สามารถช่วยลดความดันได้เฉลี่ย 8–10 mmHg ในค่าความดันตัวบน (systolic BP) และผลลดความดันคงอยู่ยาวนานเกิน 3 ปีขึ้นไป

ข้อดีของ RDN

  • ลดความดันได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ลดปริมาณการรับประทานยาหลายชนิด
  • ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของยา
  • ได้ผลลัพธ์ระยะยาว ลดความดันต่อเนื่องได้หลายปี
  • ความเสี่ยงต่ำ ความปลอดภัยสูง
  • ใช้เวลารักษาไม่นาน

ข้อจำกัดในการทำ RDN

  • การประเมินการรักษาขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณา เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ยาก แม้จะรับประทานยาหลายชนิดตามแพทย์สั่งแล้ว
  • ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ยสามารถลดความดันได้ประมาณ 8–10 mmHg แต่บางรายอาจได้ผลชัดเจนกว่านี้หรือได้น้อยกว่า
  • ยังต้องใช้ยาร่วมด้วย เนื่องจาก RDN ไม่ได้แทนที่ยาลดความดัน แต่เป็นการช่วยเสริมให้ควบคุมได้ดียิ่งขึ้น
  • ต้องทำโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง และในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ

Renal Denervation (RDN) นับเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยที่ควบคุมยากหรือต้องการลดการใช้ยา แม้ว่าจะยังไม่ใช่วิธีการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยทุกคน แต่ผลการศึกษาแสดงถึงศักยภาพที่ชัดเจน ทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพระยะยาว อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้ารับการรักษา ควรทำร่วมกับแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายบุคคล

คะแนนบทความ