ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัญหาสุขภาพที่คนทั่วโลกต้องเผชิญ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) พบว่ามีผู้ป่วยทั่วโลกมากกว่า 1,280 ล้านคน และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก จึงถูกขนานนามว่า “เพชฌฆาตเงียบ” (Silent Killer) เพราะสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหัวใจวาย หลอดเลือดสมองตีบหรือแตก (Stroke) และ ไตวายเรื้อรัง
โดยทั่วไป การรักษาความดันโลหิตสูงจะเริ่มจากการปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมกับการใช้ยาลดความดันตามแพทย์สั่ง แต่พบว่าผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ หรือที่เรียกว่า ความดันโลหิตสูงดื้อยา (Resistant Hypertension) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยยังคงมีความดันสูงเกินเป้าหมาย แม้ใช้ยาลดความดันอย่างน้อย 3 ชนิด รวมถึงยาขับปัสสาวะในขนาดที่เหมาะสม
ปัจจุบันมีทางเลือกใหม่ที่ช่วยผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ Renal Denervation (RDN) ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการลดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมความดันโลหิต โดยใช้หลักการยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทรอบหลอดเลือดแดงไตที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการหดตัวของหลอดเลือดและเพิ่มความดันโลหิตโดยตรง
ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต เส้นประสาทรอบหลอดเลือดแดงไต (Renal sympathetic nerves) ส่งสัญญาณไปยังกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่
Renal Denervation (RDN) คือ หัตถการที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการรักษา ภาวะความดันโลหิตสูงดื้อยา โดยแพทย์จะทำการใส่สายสวน (Catheter) ผ่านทาง หลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณขาหนีบ เพื่อเข้าสู่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไต (Renal Artery) เมื่อสายสวนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แพทย์จะปล่อยพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น คลื่นวิทยุ (Radiofrequency Ablation) หรือ คลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound Energy) พลังงานเหล่านี้จะเข้าไปทำลายเส้นประสาทรอบหลอดเลือดแดงไตบางส่วน ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต ผลลัพธ์คือ การส่งสัญญาณประสาทระหว่างสมองและไตลดลง ทำให้การหลั่งสารที่กระตุ้นความดันลดลงไปด้วย ส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยั่งยืนในระยะยาว

รูปภาพอ้างอิงจากเว็บไซต์ https://www.cirse.org/patients/general-information/ir-procedures/renal-denervation/
แนวทางของ European Society of Cardiology (ESC) 2023 และ American Heart Association (AHA) แนะนำว่า RDN อาจพิจารณาในผู้ป่วยกลุ่มต่อไปนี้
งานวิจัยที่สำคัญ เช่น
โดยสรุป งานวิจัยระยะยาวบ่งชี้ว่า RDN สามารถช่วยลดความดันได้เฉลี่ย 8–10 mmHg ในค่าความดันตัวบน (systolic BP) และผลลดความดันคงอยู่ยาวนานเกิน 3 ปีขึ้นไป
Renal Denervation (RDN) นับเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยที่ควบคุมยากหรือต้องการลดการใช้ยา แม้ว่าจะยังไม่ใช่วิธีการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยทุกคน แต่ผลการศึกษาแสดงถึงศักยภาพที่ชัดเจน ทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพระยะยาว อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้ารับการรักษา ควรทำร่วมกับแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายบุคคล