โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบในเด็ก (Osgood-Schlatter Disease)

โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบในเด็ก (Osgood-Schlatter Disease)

HIGHLIGHTS:

  • โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบในเด็ก พบบ่อยในวัยเด็กและวัยรุ่น พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะในเด็กที่เล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่มีการงอและยืดเข่าบ่อยๆ 
  • มีอาการปวดบริเวณหัวเข่า โดยเฉพาะที่ปุ่มกระดูกใต้สะบ้า หรือมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย 
  • การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประคับประคองและไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ยกเว้นในรายที่มีอาการปวดรุนแรงและเรื้อรังมาก หรือมีปัญหาเรื่องกระดูกอ่อนหลุดหรือกระดูกงอก

โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบในเด็ก (Osgood-Schlatter Disease)

โรคนี้คือภาวะอักเสบและเจ็บปวดบริเวณ ปุ่มกระดูกหน้าแข้ง (tibial tuberosity) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เอ็นสะบ้า (patellar tendon) มายึดเกาะ มักพบบ่อยในเด็กวัยกำลังเจริญเติบโตที่ทำกิจกรรมเล่นกีฬาหริออกกำลังกายที่ต้องมีการงอและยืดเข่าบ่อยๆ  ในขณะที่ร่างกายของเด็กๆ กำลังมีการสร้างกระดูกใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณที่มีการยึดเกาะของเอ็น เมื่อมีการดึงรั้งซ้ำๆ มากเกินไปจากกิจกรรมหนักๆ ก็จะเกิดการอักเสบขึ้นได้นั่นเอง

ใครเสี่ยงเป็นโรคนี้

  • เด็กผู้ชาย พบได้บ่อยกว่าเด็กผู้หญิง
  • เด็กวัยกำลังโตเร็ว (Growth spurt) โดยเฉพาะช่วงอายุ 8-13 ปีในเด็กผู้หญิง และ 10-15 ปีในเด็กผู้ชาย ซึ่งเป็นช่วงที่กระดูกมีการยืดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างกระดูกและเอ็นยังไม่สมดุลกันเท่าที่ควร
  • เด็กที่เล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกหรือมีการใช้งานเข่าซ้ำๆ สูง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล ยิมนาสติก วิ่ง เป็นต้น

อาการของโรคที่สังเกตได้

  • ปวดบริเวณปุ่มกระดูกหน้าแข้ง โดยเฉพาะที่ตำแหน่งใต้กระดูกสะบ้า (patella) ลงมาเล็กน้อย
  • ปวดมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรม เช่น วิ่ง กระโดด คุกเข่า งอเข่าสุด เตะบอล หรือขึ้นบันได
  • อาการดีขึ้นเมื่อพัก ความปวดจะลดลงเมื่อหยุดพักการใช้งาน
  • อาจคลำพบปุ่มกระดูกที่นูนขึ้น บริเวณหน้าแข้งใต้สะบ้า อาจรู้สึกแข็งและเจ็บเมื่อกด
  • อาจมีอาการบวมเล็กน้อย บริเวณที่ปวด

สิ่งสำคัญคือ อาการปวดมักจะดีขึ้นเมื่อเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และภาวะเจริญเติบโตของกระดูกหยุดลง
 

แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาโรค

การวินิจฉัย

  • แพทย์ซักถามอาการ และประวัติสุขภาพ สอบถามเกี่ยวกับลักษณะอาการปวด กิจกรรมที่ทำ และระยะเวลาที่เป็น
  • การตรวจร่างกาย ตรวจดูบริเวณที่ปวด คลำหาปุ่มกระดูกที่นูนขึ้น และประเมินการเคลื่อนไหวของข้อเข่า
  • การเอกซเรย์ (X-ray) มักจะทำเพื่อยืนยันการวินิจฉัย และเพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกัน เช่น กระดูกหัก หรือเนื้องอกกระดูก การเอกซเรย์จะช่วยให้เห็นความผิดปกติของปุ่มกระดูกหน้าแข้งได้ เช่น การแยกตัวของกระดูกอ่อน หรือการเกิดกระดูกงอกเล็กๆ

แนวทางการรักษา

เป้าหมายหลักของการรักษาคือการลดอาการปวดและการอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประคับประคองและไม่จำเป็นต้องผ่าตัด

  • การพัก ลดหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด โดยเฉพาะกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง หรือการใช้งานเข่าซ้ำๆ
  • การประคบเย็น ประคบเย็นบริเวณที่ปวดประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
  • การใช้ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ ตามคำแนะนำของแพทย์
  • การออกกำลังกายยืดเหยียด แพทย์หรือนักกายภาพบำบัด จะให้คำแนะนำ เช่น การยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps stretch) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring stretch) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดแรงตึงที่กระทำต่อปุ่มกระดูกหน้าแข้ง 
  • การใช้สนับเข่า หรือ Knee strap อาจช่วยพยุงและลดแรงกระทำต่อเอ็นสะบ้า
  • การทำกายภาพบำบัด ในบางรายที่อาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น คุณหมออาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบเข่า
  • สิ่งสำคัญคือ ต้องอดทน เพราะอาการมักจะดีขึ้นเมื่อกระดูกหยุดการเจริญเติบโตเต็มที่ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี
     

โรคนี้จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่

ส่วนใหญ่ การผ่าตัดไม่จำเป็นสำหรับโรคนี้ หากต้องผ่าตัดคุณหมอจะพิจารณาดังนี้:

  • อาการปวดรุนแรงและเรื้อรังมาก ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบประคับประคอง
  • เด็กอายุเกิน 14-16 ปีแล้ว และกระดูกหยุดการเจริญเติบโตแล้ว แต่อาการยังคงอยู่
  • มีกระดูกอ่อนที่หลุดลอยออกมา หรือมีกระดูกงอกขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดปัญหาอย่างมาก

การผ่าตัดจะช่วยกำจัดกระดูกงอก หรือชิ้นส่วนกระดูกอ่อนที่หลุดออกมา เพื่อลดอาการปวดและคืนการทำงานของข้อเข่า
 

การดูแลตัวเองและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษา ควรทำอย่างไร

  • ปรับเปลี่ยนกิจกรรม ค่อยๆ กลับไปทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหม
  • วอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง ควรอบอุ่นร่างกายอย่างเหมาะสม และยืดเหยียดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลังอย่างสม่ำเสมอ
  • เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่าและต้นขาให้แข็งแรงด้วยท่าที่เหมาะสม เพื่อช่วยพยุงและลดแรงกระแทกต่อข้อเข่า
  • ใส่รองเท้าที่เหมาะสม: เลือกใช้รองเท้ากีฬาที่มีการรองรับแรงกระแทกที่ดี
  • ควบคุมน้ำหนัก: การมีน้ำหนักเกินอาจเพิ่มภาระให้กับข้อเข่า
  • สังเกตอาการ: หากมีอาการปวดกลับมา ควรรีบพักและประคบเย็น และปรึกษาคุณหมอหากอาการไม่ดีขึ้น

โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบในเด็ก (Osgood-Schlatter Disease) เป็นภาวะที่พบบ่อยในเด็กวัยกำลังโตที่เล่นกีฬา การรักษาหลักๆ คือการพัก การประคบเย็น การใช้ยาแก้ปวด และการทำกายภาพบำบัด แม้จะใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่โดยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเองเมื่อเด็กโตขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีและปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หากลูกบ่นปวดเข่าหรือเจ็บหน้าแข้งบ่อย ๆ โดยเฉพาะที่ปุ่มกระดูกใต้สะบ้า หรือมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมใช้เข่าซ้ำ ๆ อาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้า  แต่นั่นอาจเป็นสัญญาณของ "โรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบในเด็ก" หรือที่รู้จักกันในชื่อ Osgood-Schlatter Disease แม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่อาจรบกวนการใช้ชีวิตและการเล่นกีฬา หากดูแลไม่ถูกวิธี

คะแนนบทความ