ภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment : MCI) จุดเริ่มต้นของอัลไซเมอร์

ภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment : MCI) จุดเริ่มต้นของอัลไซเมอร์

HIGHLIGHTS:

  • ขี้ลืมบ่อย ลืมนัด หรือสิ่งที่เพิ่งทำ พูดค้าง นึกคำไม่ออก ตัดสินใจช้าลง หลงทางในที่คุ้นเคย หรือทำสิ่งไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นสัญญาณเตือนภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI)
  • ผู้ที่มีภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย มีความเสี่ยงในการพัฒนาไปเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีบางการศึกษาระบุว่าความเสี่ยงอาจสูงกว่า 3–5 เท่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมอื่นๆ  
  • การตรวจ Oligomerized Beta-Amyloid (OAβ) เป็นการตรวจเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม ช่วยประเมินความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากตรวจพบความผิดปกติของโปรตีนอะไมลอยด์ก่อนแสดงอาการเปิดโอกาสให้วางแผนดูแลและชะลอการดำเนินของโรคได้ทันเวลา

ภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย (MCI) คืออะไร

ภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย MCI (Mild Cognitive Impairment) คือภาวะที่มีการเสื่อมถอยของความจำรวมไปถึงทักษะเกี่ยวกับการคิด  ทำให้มีความจำและทักษะการคิดลดลงกว่าคนในวัยเดียวกัน แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์การวินิจฉัยและไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวันมากเท่าภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตาม ภาวะ MCI อาจเป็นความเสี่ยงของภาวะอัลไซเมอร์ในอนาคตได้

สาเหตุของภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย MCI

สาเหตุของภาวะ MCI เกิดได้จากหลายอย่าง เช่น  ความเสื่อมของเซลล์สมอง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย โรคไทรอยด์ การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อเซลล์สมอง  โรคเบาหวาน  โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง   ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เป็นต้น
 

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย MCI

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะ MCI เช่น  

  • อายุที่มากขึ้น   
  • พันธุกรรม โดยเฉพาะในผู้ที่มียีน Apolipoprotein E (APOE) แอลลีลชนิด e4 ซึ่งเป็นยีนที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
  • ภาวะความดันโลหิตสูง 
  • เบาหวาน 
  • ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะระดับไลโปโปรตีนชนิดความหนาแน่นต่ำ (Low-Density Lipoprotein; LDL) ที่สูงกว่าค่ามาตรฐาน
  • โรคอ้วน 
  • ภาวะซึมเศร้า 
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea)
  • การสูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยิน ที่ไม่ได้รับการรักษา
  • การบาดเจ็บทางสมอง
  • การไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกาย
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
  • การสูบบุหรี่ 
  • การขาดกิจกรรมที่มีแรงกระตุ้นจากสังคม ไม่ค่อยมีการเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น หรือไม่ได้รับแรงกระตุ้นจากสังคมรอบข้าง เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือชุมชน
  • การสัมผัสมลพิษทางอากาศ เป็นต้น

สัญญาณเตือนของภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย MCI

  • ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment; MCI) มักมีอาการสำคัญ ได้แก่
  • มีความบกพร่องด้านความจำ เช่น ลืมเหตุการณ์หรือนัดหมายสำคัญ ลืมสิ่งที่เพิ่งทำ หรือไม่สามารถจดจำเนื้อหาจากการอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์ได้จนจบเรื่อง
  • มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดคุยได้ไม่ต่อเนื่อง ลืมคำ หรือใช้คำไม่ถูกต้องตามบริบท
  • มีความยากลำบากในการคิด วิเคราะห์ หรือตัดสินใจ เช่น ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ครบถ้วน หรือแสดงพฤติกรรมการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมในบางสถานการณ์
  • มีความบกพร่องด้านการรับรู้ทิศทางและความจำเชิงพื้นที่ เช่น จำเส้นทางที่คุ้นเคยไม่ได้
  • การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อย จนผู้ป่วยยังสามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่สมาชิกในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดมักสังเกตเห็นความผิดปกติได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ภาวะ MCI มีความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อม

ผู้ที่มีภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย มีความเสี่ยงในการพัฒนาไปเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีบางการศึกษาระบุว่าความเสี่ยงอาจสูงกว่า 3–5 เท่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่ส่งผลร่วมกับภาวะ MCI ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น  เช่น อายุ  พันธุกรรมการมียีน APOE e4   โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง  ไขมันในเลือดสูง การออกกำลังกายไม่เพียงพอ  การสูบบุหรี่  ดื่มแอลกอฮอล์  การนอนหลับไม่ดี  ภาวะซึมเศร้า หรือความเครียดเรื้อรัง 

จากการศึกษายังพบว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อยชนิดที่มีความบกพร่องด้านความจำเด่น (Amnestic Mild Cognitive Impairment; aMCI) มีความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงกว่าผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อยชนิดที่ไม่เด่นด้านความจำ (Non-amnestic MCI; naMCI)

การป้องกันการเกิดภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดภาวะ MCI ที่ได้ผลแน่นอน แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น

  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ๆ 
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส ฝุ่น ควัน มลภาวะทางอากาศ
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะบาดเจ็บทางสมอง เช่น การสวมหมวกกันน็อค เมื่อขับขี่รถจักรยานยนต์
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ติดตามการรักษาและควบคุมภาวะทางกายเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะชนิด LDL โรคอ้วน โรคซึมเศร้า
  •  พักผ่อนให้เพียงพอ
  •  รับประทานอาหารที่มีสารอาหารอย่างเพียงพอ โดยเน้นผัก ผลไม้ ลดอาหารไขมันสูง
  • เข้าสังคม ทำกิจกรรมกับครอบครัวเพื่อนฝูง หรือกลุ่มคนในวัยเดียวกัน
  • ควรออกกำลังกายระดับปานกลางถึงหนักอย่างสม่ำเสมอ โดยให้เหมาะสมกับสมรรถภาพทางกายของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัย
  • หากมีปัญหาด้านการมองเห็นหรือการได้ยิน ควรรับการตรวจรักษาโดยด่วน
  • ทำกิจกรรมหรือเล่นเกมที่ฝึกสมองเช่น การคิดเลข ตัวต่อ เกมที่ต้องใช้การคิดหรือความจำ ใช้สมองคิดวางแผน ทำกิจกรรมใหม่ ๆ ฝึกทักษะใหม่ ๆ

การตรวจอัลไซเมอร์ด้วยวิธี Oligomerize beta amyloid คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับสมองเสื่อม

การตรวจ Oligomerized beta amyloid คือ การตรวจทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม โดยจะวัดระดับการก่อตัวหรือการเกาะกลุ่มของโปรตีนอะไมลอยด์-เบต้า (Amyloid beta) ในเลือด ซึ่งโปรตีนชนิดนี้เมื่อมีการสะสมและเกาะตัวเป็นกลุ่มอาจไปจับกับเซลล์สมองทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์สมอง ส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ในภายหลังได้ โดยกระบวนการจับตัวของโปรตีนชนิดนี้จะเริ่มก่อนแสดงอาการสมองเสื่อมถึง 20-30 ปี 

เมื่อมีการสะสมของโปรตีนชนิดนี้มาก ๆ จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองถดถอยลง โดยเริ่มจากสมองส่วน Hippocampus ซึ่งมีหน้าที่ในการจดจำข้อมูลใหม่ ๆ หลังจากนั้นจะลามไปสมองส่วนอื่น ๆ ทำให้มีปัญหาด้านอื่น ๆ เช่น การเรียนรู้ ภาษา ความคิด พฤติกรรม เป็นต้น 

ดังนั้น การตรวจระดับ Oligomeric Beta-Amyloid ในเลือดจึงมีบทบาทในการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น ช่วยให้สามารถวางแผนการดูแลและเริ่มต้นการรักษาได้ตั้งแต่ระยะก่อนแสดงอาการทางคลินิก ซึ่งอาจช่วยชะลอการดำเนินของโรคและคงไว้ซึ่งการทำงานของสมองได้ยาวนานยิ่งขึ้น

การตรวจ ApoE คืออะไร

การตรวจ ApoE (Apolipoprotein E) คือ การตรวจวิเคราะห์ยีนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งไขมันและการกำจัดโปรตีนบางชนิดในร่างกาย ซึ่งรวมถึงการช่วยกำจัดโปรตีนอะไมลอยด์ เบต้า (beta-amyloid) ออกจากเซลล์ประสาท โดยยีน ApoE มี 3 ชนิดหลัก แต่ชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมคือ ApoE e4 ซึ่งผู้ที่มียีนนี้จะเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นกว่าคนทั่วไป เนื่องจาก ApoE e4 ทำให้ประสิทธิภาพการขจัดโปรตีนอะไมลอยด์ เบต้าออกจากสมองต่ำลง เกิดการสะสมของโปรตีนนี้มากขึ้น และส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น สามารถตรวจได้จากเลือดหรือการเก็บเนื้อเยื่อข้างกระพุ้งแก้ม 

การตรวจยีน Apolipoprotein E (ApoE) ไม่ได้เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยตรง แต่เป็นการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต โดยผลการตรวจสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต เพื่อช่วยลดโอกาสในการเกิดโรค เช่น การดูแลสุขภาพทั่วไป การควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการติดตามอาการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทอย่างต่อเนื่อง

ใครที่ควรตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์ ตรวจสุขภาพสมองเพื่อป้องกันความเสี่ยง

ผู้ที่มีความเสี่ยงควรได้รับการตรวจสุขภาพสมอง เพื่อป้องกันและวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ทำให้สามารถทำการรักษาได้อย่างเหมาะสม และชะลออาการของโรค กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงและอาจได้รับประโยชน์จากการตรวจสุขภาพสมอง เช่น

  • ผู้สูงอายุ ตั้งแต่อายุ 65 ปีขึ้นไป 
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัว มีญาติสายตรงในครอบครัวป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อม 
  • ผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น เป็นโรคดาวน์ซินโดรม ผู้ที่มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท เป็นต้น

การวินิจฉัยภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย

การวินิจฉัยภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment; MCI) จำเป็นต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท ผ่านการทดสอบคัดกรองการทำงานของสมอง เช่น แบบประเมิน Montreal Cognitive Assessment (MoCA) หรือ Mini-Mental State Examination (MMSE) ร่วมกับการซักประวัติอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วย การตรวจร่างกายทั่วไปและทางระบบประสาท ตลอดจนการพิจารณาตัดภาวะสมองเสื่อมหรือความผิดปกติทางสมองอื่น ๆ ออก ซึ่งในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจภาพรังสีสมองเพิ่มเติม เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยและแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกัน

การรักษาภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย

การรักษาภาวะ MCI มีทั้งการรักษาโดยใช้ยาและไม่ใช้ยา

  • การรักษาโดยไม่ใช้ยา   การปรับพฤติกรรม เป็นวิธีการรักษาที่สำคัญที่สุดของภาวะ MCI  เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การฝึกทักษะทางสมอง การเข้าสังคม และทำกิจกรรมทางสังคมกับผู้อื่น การดูแลโภชนาการ การควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางกาย การควบคุมความเครียด การงดยาอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุ 
  • การรักษาโดยการใช้ยา   ปัจจุบันยังไม่พบประโยชน์จากการใช้ยาในการรักษาภาวะ MCI อย่างชัดเจน แต่แนวทางเวชปฏิบัติภาวะสมองเสื่อม ปี พ.ศ. 2564 มีข้อแนะนำในการใช้ยาในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมระยะต้น ซึ่งอาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วย MCI บางรายที่มีความเสี่ยงสูงในการพัฒนาไปเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มดังกล่าวก็มีผลข้างเคียง จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาทเพื่อประเมินประโยชน์ของการใช้ยาเทียบกับความเสี่ยงก่อนใช้ยาเสมอ

Reference:

คะแนนบทความ