ภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย MCI (Mild Cognitive Impairment) คือภาวะที่มีการเสื่อมถอยของความจำรวมไปถึงทักษะเกี่ยวกับการคิด ทำให้มีความจำและทักษะการคิดลดลงกว่าคนในวัยเดียวกัน แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์การวินิจฉัยและไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวันมากเท่าภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตาม ภาวะ MCI อาจเป็นความเสี่ยงของภาวะอัลไซเมอร์ในอนาคตได้
สาเหตุของภาวะ MCI เกิดได้จากหลายอย่าง เช่น ความเสื่อมของเซลล์สมอง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย โรคไทรอยด์ การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อเซลล์สมอง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะ MCI เช่น
ผู้ที่มีภาวะความจำบกพร่องเล็กน้อย มีความเสี่ยงในการพัฒนาไปเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีบางการศึกษาระบุว่าความเสี่ยงอาจสูงกว่า 3–5 เท่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่ส่งผลร่วมกับภาวะ MCI ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น เช่น อายุ พันธุกรรมการมียีน APOE e4 โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง ไขมันในเลือดสูง การออกกำลังกายไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การนอนหลับไม่ดี ภาวะซึมเศร้า หรือความเครียดเรื้อรัง
จากการศึกษายังพบว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อยชนิดที่มีความบกพร่องด้านความจำเด่น (Amnestic Mild Cognitive Impairment; aMCI) มีความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงกว่าผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อยชนิดที่ไม่เด่นด้านความจำ (Non-amnestic MCI; naMCI)
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดภาวะ MCI ที่ได้ผลแน่นอน แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น
การตรวจ Oligomerized beta amyloid คือ การตรวจทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม โดยจะวัดระดับการก่อตัวหรือการเกาะกลุ่มของโปรตีนอะไมลอยด์-เบต้า (Amyloid beta) ในเลือด ซึ่งโปรตีนชนิดนี้เมื่อมีการสะสมและเกาะตัวเป็นกลุ่มอาจไปจับกับเซลล์สมองทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์สมอง ส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ในภายหลังได้ โดยกระบวนการจับตัวของโปรตีนชนิดนี้จะเริ่มก่อนแสดงอาการสมองเสื่อมถึง 20-30 ปี
เมื่อมีการสะสมของโปรตีนชนิดนี้มาก ๆ จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองถดถอยลง โดยเริ่มจากสมองส่วน Hippocampus ซึ่งมีหน้าที่ในการจดจำข้อมูลใหม่ ๆ หลังจากนั้นจะลามไปสมองส่วนอื่น ๆ ทำให้มีปัญหาด้านอื่น ๆ เช่น การเรียนรู้ ภาษา ความคิด พฤติกรรม เป็นต้น
ดังนั้น การตรวจระดับ Oligomeric Beta-Amyloid ในเลือดจึงมีบทบาทในการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น ช่วยให้สามารถวางแผนการดูแลและเริ่มต้นการรักษาได้ตั้งแต่ระยะก่อนแสดงอาการทางคลินิก ซึ่งอาจช่วยชะลอการดำเนินของโรคและคงไว้ซึ่งการทำงานของสมองได้ยาวนานยิ่งขึ้น
การตรวจ ApoE (Apolipoprotein E) คือ การตรวจวิเคราะห์ยีนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งไขมันและการกำจัดโปรตีนบางชนิดในร่างกาย ซึ่งรวมถึงการช่วยกำจัดโปรตีนอะไมลอยด์ เบต้า (beta-amyloid) ออกจากเซลล์ประสาท โดยยีน ApoE มี 3 ชนิดหลัก แต่ชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมคือ ApoE e4 ซึ่งผู้ที่มียีนนี้จะเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นกว่าคนทั่วไป เนื่องจาก ApoE e4 ทำให้ประสิทธิภาพการขจัดโปรตีนอะไมลอยด์ เบต้าออกจากสมองต่ำลง เกิดการสะสมของโปรตีนนี้มากขึ้น และส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น สามารถตรวจได้จากเลือดหรือการเก็บเนื้อเยื่อข้างกระพุ้งแก้ม
การตรวจยีน Apolipoprotein E (ApoE) ไม่ได้เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยตรง แต่เป็นการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต โดยผลการตรวจสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต เพื่อช่วยลดโอกาสในการเกิดโรค เช่น การดูแลสุขภาพทั่วไป การควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการติดตามอาการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่มีความเสี่ยงควรได้รับการตรวจสุขภาพสมอง เพื่อป้องกันและวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ทำให้สามารถทำการรักษาได้อย่างเหมาะสม และชะลออาการของโรค กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงและอาจได้รับประโยชน์จากการตรวจสุขภาพสมอง เช่น
การวินิจฉัยภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment; MCI) จำเป็นต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท ผ่านการทดสอบคัดกรองการทำงานของสมอง เช่น แบบประเมิน Montreal Cognitive Assessment (MoCA) หรือ Mini-Mental State Examination (MMSE) ร่วมกับการซักประวัติอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วย การตรวจร่างกายทั่วไปและทางระบบประสาท ตลอดจนการพิจารณาตัดภาวะสมองเสื่อมหรือความผิดปกติทางสมองอื่น ๆ ออก ซึ่งในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจภาพรังสีสมองเพิ่มเติม เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยและแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกัน
การรักษาภาวะ MCI มีทั้งการรักษาโดยใช้ยาและไม่ใช้ยา