โฮมสคูล (Home school) อีกทางเลือกของการเรียน

โฮมสคูล (Home school) อีกทางเลือกของการเรียน

HIGHLIGHTS:

  • ไม่ว่าพ่อแม่จะเลือกให้ลูกเรียนที่โรงเรียนหรือเรียนที่บ้าน ก็สามารถทำให้ลูกประสบความสำเร็จไม่ต่างกัน แต่พ่อแม่ต้องช่วยกันแบ่งหน้าที่ดูแลลูก จัดตารางเรียนให้ชัดเจน เช็คการบ้านออนไลน์และตารางสอนกับคุณครูอย่างต่อเนื่อง
  • ข้อดีของการเรียนแบบ Home school คือ พ่อแม่จะสามารถสังเกตเห็นการเรียนรู้ของลูกได้อย่างใกล้ชิด จะทำให้รู้ว่าเด็กชอบอะไร มีความสุขกับสิ่งใด ช่วยให้พ่อแม่จัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับลูกได้

HIGHLIGHTS:

ตอนนี้หลายบ้านพ่อแม่ต้อง Work from home ส่วนเด็กๆ ก็เลื่อนเปิดเทอมไปถึงกรกฎาคม ทุกคนในบ้านต่างต้องปรับกิจกรรมและพฤติกรรมกันถ้วนหน้า ช่วงนี้คงเป็นเวลาที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องหันมาใส่ใจกิจกรรมการเรียนของลูก เปลี่ยนมาเรียนที่บ้านหรือทางออนไลน์แทน แล้วพ่อแม่จะคุยกับลูกอย่างไรให้การเรียนหนังสือของลูกจะเกิดขึ้นภายในบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจกับลูกๆ ถึงวิธีการเรียนในปัจจุบัน ว่ามีทั้งแบบเรียนที่โรงเรียนและเรียนที่บ้าน (อันนี้ไม่รวมเรื่องเรียนพิเศษ) ซึ่งไม่ว่าจะเรียนแบบไหนก็สามารถทำให้ลูกประสบความสำเร็จ มีความรู้ ทำงาน มีรายได้ ไม่ต่างกัน ส่วนตารางประจำวันของลูกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และอาจทำให้ลูกมีเวลาเรียนเพิ่มขึ้นด้วยเพราะไม่ต้องฝ่ารถติด ทั้งขาไปขากลับ

การจัดตารางเวลาให้ลูกทำประจำวัน

ให้พ่อแม่อิงเวลาเดิมเหมือนตอนไปโรงเรียน ตื่น อาบน้ำ ทานข้าว เรียน เล่น เหมือนเดิม พ่อแม่อาจต้องแบ่งหน้าที่ ที่ต้องดูแลลูก ให้ดี จัดตารางเรียนลูก 6 – 8 ชม. / วันให้ชัดเจน เช็คการบ้านออนไลน์ที่ครูส่งมา จัดสรรเวลา สร้างวินัย ถ้าครูให้ตารางสอนมาด้วย จะช่วยพ่อแม่ได้อีกแรง ส่วนเด็กเล็กวัยอนุบาลหรือประถมต้น คุณพ่อคุณแม่อาจยังต้องช่วยดุแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจยังไม่สามารถวางแผนด้วยตัวเองได้

เรียนที่บ้าน Home school ต่างจากเรียนที่โรงเรียนอย่างไร

ธรรมชาติของเด็ก สมาธิจะจดจ่อการเรียนได้มากที่สุดคือประมาณ 20 – 30 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยถ้ายังมีครูเป็นผู้ดำเนินการสอน คอยถามคอยเตือน จะสามารถช่วยสร้างสมาธิให้เด็กได้ แต่ถ้าเรียนที่บ้านหรือเรียนออนไลน์ สมาธิของเด็กอาจวอกแวกได้ ซึ่งพ่อแม่ต้องทำหน้าที่แทนครู คุยกับลูกก่อนว่า วันนี้คุณครูสั่งให้ลูกเรียนอะไรบ้าง คุณครูสั่งงานสั่งการบ้านรึเปล่า ต้องส่งวันไหน แล้วคอยมองดูว่าเป็นไปตามตารางหรือไม่ เพราะเมื่ออยู่ในบ้านด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถคอยมองและสังเกตดูได้

แต่อย่าลืมให้ลูกได้พักหรือแทรกกิจกรรมอื่น ตามที่เคยทำที่โรงเรียน แต่อาจแค่ปรับสถานที่ในการทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่ลูกชอบทำคนเดียว หรือจะเล่นเพื่อนๆ พี่น้อง งานกลุ่ม ก็อาจต้องมีสื่อโซเชียลมีเดียมาช่วยบ้าง แต่ก็ต้องปรับรูปแบบและเวลาให้เหมาะสม

เรื่องสุขภาพก็สำคัญ เด็กต้องออกกำลังกาย เด็กเคยมีวิชาพละศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องใส่ตารางนี้เข้าไปด้วย แต่อาจเปลี่ยนเป็น แอโรบิค โยคะ เตะฟุตบอลในโรงรถแทน อย่าให้ลูกดูการ์ตูนหรือติดหนังซีรีส์ตามพ่อแม่ เพราะอาจส่งผลถึงโรคอ้วนและเรื่องไขมันตามมา เพราะไม่ยอมเคลื่อนไหวออกกำลัง อีกทั้งการได้ทำกิจกรรมต่างๆ ยังช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้เด็กๆ ได้อีกด้วย

ข้อดีของการเรียนที่บ้าน Home school

ในเมื่อผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมและสังเกตเห็นการเรียนรู้ของลูกได้อย่างใกล้ชิด จะทำให้รู้ว่าเด็กชอบอะไร มีความสุขกับสิ่งใด จะช่วยพ่อแม่ในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับลูกได้ และในเมื่อผู้ปกครองเข้าใจเด็กๆ แล้ว ก็นับเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีในชีวิตของเด็กอีกด้วย อีกข้อที่สำคัญ การเรียนที่บ้านจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาที่ต้องใช้ในการเรียนตามระบบ แต่พ่อแม่ต้องเรียนรู้หลักสูตรที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย มีความทันสมัยและเข้ากับตัวเด็ก ทางที่ดี การโทรปรึกษากับครูโดยตรงว่าวิชาที่เรียนเป็นไปตามหลักสูตรของเด็กๆ หรือไม่ แค่ไหน เพื่ออาจหาช่องทางและเวลาเพิ่มการเรียนวิชาที่ยังขาดหายไปได้ เด็กที่เรียนที่บ้านอาจเป็นเด็กกล้าคิดกล้าตัดสินใจมากขึ้น เพราะเด็กจะรู้จักตัวเองและมีประสบการณ์การแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยมีพ่อแม่มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุน จะทำให้เด็กมีประสบการณ์ในการคิด รับผิดชอบ และทำอะไรด้วยตัวเองเยอะขึ้น

ข้อเสียของการเรียนแบบ โฮมสคูล

พ่อแม่ต้องจัดสรร แบ่งเวลาในการทำงานและการสอนลูก และฝึกจัดการกับอารมณ์ตัวเอง หากต้องพบปัญหาเหล่านี้ เมื่อลูกขาดความตั้งใจในการเรียน หรือไม่สามารถทำงานส่งได้ตามเป้าหมาย พ่อแม่ควรช่วยลูกวางแผนการเรียนให้ดี เพราะการเรียนที่บ้านอาจทำให้เรียนช้ากว่าการเรียนในโรงเรียน และควรคุยสร้างความเข้าใจและการยอมรับกับลูกหากมีคนอื่นพูดไปในทางที่ไม่ดีของการเรียนที่บ้าน

เด็กจะขาดทักษะทางสังคมหรือไม่หากเรียนแบบ โฮมสคูล

พ่อแม่ที่ตัดสินใจให้ลูกเรียนที่บ้าน อาจมีความกังวลว่าเด็กๆ จะขาดทักษะการเข้าสังคม จะรู้จักการปรับตัว ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่ เพราะการเรียนแต่ในบ้าน ไม่ได้เจอผู้คนนอกจากพ่อแม่และคนในครอบครัว พ่อแม่ตัดสินใจต้องอย่าลืมว่า ในที่สุดแล้วเด็กก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ต้องการมีเพื่อน มีเวลาเล่นและใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นด้วย พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้เวลากับเพื่อนวัยเดียวกันและผู้ใหญ่อื่นๆ ตามความเหมาะสม อาจจะให้ลูกได้เล่นกับเพื่อนแถวบ้าน หรือออกไปทำกิจกรรมข้างนอกร่วมกับคนอื่นๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องมีกฏกติกาให้ลูกและตกลงกันว่า อันไหนทำได้ไม่ได้ ต้องรักษาเวลา โดยอาจลองไปรับลูกกลับบ้านตามเวลาที่ตกลงกัน เพื่อสร้างความเคยชินให้ลูก และปัญหาที่เด็กไม่เข้าสังคม ไม่ยุ่งกับคนอื่นอาจไม่ใช่ปัญหาของเด็กที่เรียนที่บ้าน เพราะปัญหาเหล่านี้สามารถพบได้ทุกที่ ซึ่งในโรงเรียนเองก็มีเด็กๆ ที่อาจไม่ชอบเข้าสังคมอยู่เช่นกัน

วุฒิการศึกษาของเด็กที่เรียนที่บ้าน

การจดทะเบียนการศึกษาในเขตที่เราอาศัยอยู่ ผู้ที่ต้องการจดทะเบียนกับเขตการศึกษาจะสามารถทำได้ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับ ม.ปลาย โดยไม่ได้บังคับในเด็กเล็กและอนุบาล สามารถจดได้ตั้งแต่อายุครบ 7 ปี หรือระดับ ป.1 ซึ่งทางเขตการศึกษาจะให้ผู้ปกครองเขียนหลักสูตรที่จะสอนลูกว่าจะสอน ให้คะแนน และประเมินลูกอย่างไร โดยทางเขตมีการแนะนำสำหรับการจัดการเรียนการสอนของผู้ปกครองให้อย่างเหมาะสม เมื่อเด็กๆ เรียนผ่านทุกปีพร้อมกับเขตการศึกษาได้รับรายงานผลการเรียนจากพ่อแม่ ทางเขตฯ ก็จะออกใบประกาศให้ ซึ่งสามารถเอาไปสอบได้เหมือนกับนักเรียนในระบบ และผู้ปกครองก็จะได้รับเงินอุดหนุนการศึกษาจากภาครัฐอีกด้วย โดยผู้ปกครองจะสอนเอง หรือนำเงินนั้นไปจ้างครูมาสอนก็ได้แล้วแต่การจัดการ

การจะตัดสินใจให้ลูกเรียนที่บ้านนั้นทำได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายกับทุกคน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของผู้ปกครองและเด็ก วิถีชีวิตของแต่ละคน แนวคิดและอาจรวมไปถึงสถานภาพครอบครัว

ทั้งนี้ทั้งนั้น การเรียนในโรงเรียนหรือเรียนที่บ้านพ่อแม่ต้องคอยหาข้อมูลจากคุณครูว่าการเรียนถูกต้องตรงหลักสูตรหรือไม่

คอยช่วยหาเวลาทบทวน เช็คผลการสอบ และประเมินกับคุณครูอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลการเรียนของลูกออกมาดี

Leave a medical inquiry

*โปรดระบุ

ชื่อ*
ชื่อ*
นามสกุล*
นามสกุล*
ประเภทคำถาม*
ประเภทคำถาม*
คำถาม*
คำถาม*
อีเมล*
อีเมล*
คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?