มะเร็งเต้านมเป็นเสมือนภัยเงียบคุกคามผู้หญิงทั่วโลก เพราะจำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลจากองค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ ปี 2555 พบว่า มะเร็งเต้านมพบมากเป็นอันดับ 1 สำหรับมะเร็งในเพศหญิง โดยมีอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งเต้านมในประเทศไทย มีอัตราผู้ป่วยอยู่ที่ 28.5 ต่อ แสนประชากรในเพศหญิง และพบจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละปีอยู่ที่ 12,613 คน โดยในจำนวนนี้มีถึง 2,896 คนที่เสียชีวิตให้กับโรคมะเร็งเต้านม ทั้งๆ ที่มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ผลดีที่สุดในกลุ่มของโรคมะเร็งที่พบในสตรีไทย เพียงแต่เราต้องรู้จักดูแลและระวังเสมอว่า ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้เท่ากัน ดังนั้นจึงต้องใส่ใจตัวเอง โดยเริ่มจากการคลำตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของเต้านมตนเอง ร่วมกับการตรวจเต้านมด้วยการทำเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) เพื่อเพิ่มโอกาสการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของมะเร็งเต้านม
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมนั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงมาจากการ
ส่วนการทำศัลยกรรมเต้านมด้วยการเสริมเต้าด้วยถุงซิลิโคน หรือถุงน้ำเกลือนั้นยังไม่มีการวิจัยว่าไปกระตุ้นก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) หรือตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองคือ ช่วง 10 วันหลังประจำเดือนหมด ช่วงนี้เต้านมจะไม่คัดตึงเหมือนช่วงก่อน หรือระหว่างมีประจำเดือนจึงทำให้การตรวจเจ็บไม่มากเท่ากับการตรวจช่วงก่อนมีประจำเดือน
สำหรับขั้นตอนการตรวจเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) นักรังสีเทคนิคจะซักถามประวัติเบื้องต้นก่อนเข้ารับการตรวจ เช่น ประวัติการผ่าตัด ประวัติการเสริมเต้านม ประวัติการมีประจำเดือน ประวัติการตั้งครรภ์/การให้นมบุตร เป็นต้น
ส่วนใหญ่การทำเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) จะใช้เวลา 5-10 นาที/คน โดยจะถ่ายภาพเต้านม 4 ภาพ ข้างละ 2 ภาพ คือ ถ่ายภาพจากด้านบน และถ่ายภาพจากด้านข้าง โดยเครื่องถ่ายเอกซเรย์จะกดเต้านมประมาณ 5 วินาทีเพื่อให้เนื้อภายในเต้านมกระจายออก และใช้ปริมาณรังสีน้อยที่สุด ซึ่งผู้รับการตรวจอาจรู้สึกเจ็บบ้างในขณะกดเต้านม หลังจากนั้นจะมีการตรวจอัลตราซาวด์เต้านมโดยรังสีแพทย์ร่วมด้วยเพื่อจะได้ทำการวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น