เสี่ยงกระดูกพรุนหากขาดวิตามินดี

เสี่ยงกระดูกพรุนหากขาดวิตามินดี

HIGHLIGHTS:

  • วิตามินดีช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว สามารถลดอุบัติการณ์การหกล้มในผู้สูงอายุได้
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับหรือไต มีภาวะอ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 30 (BMI > 30) มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี
  • ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีระดับวิตามินดีต่ำมาก หรือไม่สามารถปรับพฤติกรรมให้ได้รับวิตามินดีจากอาหารหรือแสงแดดได้ แพทย์สามารถให้วิตามินดีเสริม (Vitamin D supplementation) ตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

ภาวะขาดวิตามินดี (Vitamin D deficiency)  พบสูงขึ้นในทุกเพศ ทุกวัย และทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกบางร่วมด้วย   ภาวะขาดวิตามินดีจะมีผลกระทบโดยตรงกับความแข็งแรงของกระดูก ถ้าขาดอย่างรุนแรงในทารกจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อนชนิด Ricket สำหรับในผู้ใหญ่ถ้าขาดรุนแรงจะก่อโรคกระดูก Osteomalacia   อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ขาดวิตามินดีมักจะขาดไม่รุนแรง แต่ก็ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ได้

จะทราบได้อย่างไรว่ามีภาวะขาดวิตามินดี

สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ได้มีคำแนะนำเกี่ยวกับภาวะขาดวิตามินดีไว้ว่า ภาวะขาดวิตามินดี คือผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 20 ng/ml และในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ควรมีระดับวิตามินดีอย่างน้อย 30 ng/ml ขึ้นไป

ปัจจุบันเราสามารถตรวจวัดระดับวิตามินดีได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาระดับของวิตามินดี (25(OH) vitamin D) โดยมักจะแนะนำให้ตรวจในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดี เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีปัญหากระดูกพรุน กระดูกบางหรือมีกระดูกหัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับหรือไตที่ทำให้กระบวนการสร้างวิตามินดีลดลง ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 30  (BMI > 30)  ผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด เช่น ผู้ที่ใช้เวลาทำงานในตึกเป็นส่วนใหญ่  การทาครีมกันแดดเป็นประจำ เป็นต้น

สามารถเพิ่มระดับวิตามินดีในร่างกายในอย่างไร

แหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติที่สำคัญคือการที่ผิวหนังได้รับแสงแดด ซึ่งจะมีรังสี Ultraviolet B (UVB) ทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ตั้งแต่ 08.00 – 10.00 น. และ 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่แรงและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกินไป  ใช้เวลา15 – 30 นาที ร่างกายก็สามารถผลิตวิตามินดีมาใช้ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถเพิ่มระดับวิตามินดีได้โดยการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น เห็ดที่ได้รับแสงแดด และอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน หรือการรับประทานไข่หรือนมที่มีการเติมวิตามินดี

วิตามินดี แค่ไหน เรียกว่าเหมาะสม

วิตามินดีที่ได้จากอาหารในแต่ละวันอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากอาหารที่มีวิตามินดีสูงมีจำกัด   จึงควรรับวิตามินดีจากแสงแดดอย่างเหมาะสม   ผู้ที่อายุน้อยกว่า  70 ปี ควรได้รับวิตามินดี วันละ 600 IU และผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรรับวิตามินดีวันละ   800  IU *  เนื่องจากร่างกายมีการสร้างกระดูกน้อยลง

ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีระดับวิตามินดีต่ำมาก หรือไม่สามารถปรับพฤติกรรมให้ได้รับวิตามินดีดังกล่าวข้างต้น แพทย์สามารถให้รับประทานวิตามินดีเสริมได้ (Vitamin D supplementation) ตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย

ประโยชน์จากการเสริมวิตามินดี

มีการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินดีจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้การทรงตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น  รวมถึงช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหว และยังสามารถลดอุบัติการณ์การหกล้มในผู้สูงอายุได้ ที่สำคัญการได้รับวิตามินดีเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก ซึ่งสำคัญมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุเพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อเกิดกระดูกหักแล้วจะมีผลกระทบตามมามากมาย เช่น อาการเจ็บปวดบริเวณตำแหน่งกระดูกหัก ทำให้การเคลื่อนไหวหรือการทำงานลดลง บางรายต้องนอนติดเตียงโดยเฉพาะผู้ที่มีกระดูกสะโพกหักซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น เกิดการติดเชื้อระบบต่าง ๆได้ง่าย และอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิต

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?