แบบนี้สิท้องแล้ว

แบบนี้สิท้องแล้ว

HIGHLIGHTS:

  • ความเครียดหรือความวิตกกังวล อาจทำให้ประจำเดือนผิดปกติ จนเข้าใจผิดว่ากำลังตั้งครรภ์
  • คลื่นไส้ – อาเจียน เหม็นไปหมดทุกอย่าง เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณ “ท้อง”
  • หากมีการตั้งครรภ์ อาจเกิดการตกขาวได้เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ กับการตั้งครรภ์

คุณผู้หญิงหลายคน หากประจำเดือนขาดไปสัก 5-7 วัน รวมถึงมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย มักทึกทันทันทีว่า “ท้องแน่” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อาการของคนท้อง นั้นมีหลากหลายแตกต่างกัน

สัญญาณที่บ่งบอกว่า “ท้อง”

  • ประจำเดือนขาด หากประจำเดือนที่เคยมาอย่างสม่ำเสมอและค่อนข้างตรงเวลา แต่อยู่ๆ เกิดขาดไป นี่คือสัญญาณ เบื้องต้นที่จะทำให้เชื่อได้ว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ เพื่อให้แน่ใจแนะนำให้ซื้อเครื่องตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจ เพราะการที่ประจำเดือนไม่มา อาจมาจากสาเหตุอื่น เช่น มีความเครียด หรือวิตกกังวลสูง รวมถึงอาการป่วย
  • คลื่นไส้ – อาเจียน เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์ก็ว่าได้ อาการคลื่นไส้อาเจียนมักเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวอ่อนปฏิสนธิได้ 1 เดือน อย่างไรก็ตามอาการคลื่นไส้ไม่ใช่สูตรสำเร็จของการตั้งครรภ์เสมอไป บางคนอาจไม่มีอาการแพ้ท้องเลย ในขณะที่บางคนกลับแพ้ท้องอย่างหนักจนถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการคลื่นไส้จะบรรเทาลงได้เมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่ระยะไตรมาสที่ 2 (ช่วงเดือนที่ 4-6)
  • ได้กลิ่นเหม็นรุนแรง ผลจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้กลายเป็นคนจมูกไว ได้กลิ่นอะไรก็พานเหม็นจนอยากอาเจียน บางครั้งอาจถึงกับทนกลิ่นน้ำหอมเดิมของตัวเองไม่ได้
  • เจ็บหน้าอก คัดเต้านม การตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก (ช่วงเดือนที่ 1-3) อาจทำให้หน้าอกมีอาการบวม เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงบริเวณหน้าอกมากขึ้น จนบางครั้งเกิดการคัดเต้านม รวมถึงหน้าอกไวต่อสัมผัสหรือรู้สึกตึงคล้ายกับอาการช่วงมีประจำเดือน
  • เหนื่อยล้า รู้สึกเหนื่อยมากๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย มีอาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน อาจเป็นผลจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อาการดังกล่าวจะบรรเทาลงเมื่อเข้าช่วงไตรมาสที่ 2 (ช่วงเดือนที่ 4-6)
  • เลือดออกทางช่องคลอด คุณแม่บางท่านอาจมีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด ในช่วงหลังจากตัวอ่อนปฏิสนธิได้ 11-12 วัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับประจำเดือนขาด เลือดที่ไหลออกมามักเป็นเลือดจางสีแดงหรือชมพู และจะหยุดไปเองภายใน 1-2 วัน แต่หากพบว่ามีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดร่วมกับอาการปวดท้อง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะท้องนอกมดลูกหรือการแท้งบุตรได้
  • ปัสสาวะบ่อย หลังจากประจำเดือนขาดไป 1-2 สัปดาห์ คุณแม่จะปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายผลิตเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น ทำให้ไตขับของเสียในรูปของของเหลวมากขึ้นตามไปด้วย
  • ท้องผูก เมื่อตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การย่อยอาหารช้าลง รวมถึงมดลูกขยายตัว กดทับลำไส้ อาจทำให้คุณแม่หลายคนมีอาการท้องผูก ระหว่างตั้งครรภ์จึงควรรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ
  • หงุดหงิด โกรธง่าย สตรีตั้งครรภ์มักมีอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อยเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายของคุณแม่กำลังพยายามปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ หากทำความเข้าใจ อารมณ์ของคุณแม่ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติได้ไม่ยาก
  • เกิดตกขาวเล็กน้อย เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้มีเลือดมาคั่งบริเวณช่องคลอดตรงคอมดลูก ทำให้ต่อมต่างๆ ที่คอมดลูกทำงานมากขึ้น จึงมีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอดมากขึ้น เมื่อมาเจอกับแบคทีเรียที่มีตามปกติที่ช่องคลอดก็จะย่อยน้ำบริเวณนี้ กลายเป็นตกขาวได้ แต่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ

แม้อาการตั้งครรภ์ของคุณแม่ส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีอีกหลายอาการที่อาจเกิดกับบางคนเท่านั้น ในขณะที่ บางรายแทบไม่มีอาการใดเลย ทั้งนี้หากพบและมั่นใจว่าตั้งครรภ์ คุณแม่ควรดูแลสุขภาพในระยะแรกของการตั้งครรภ์ โดยรับประทานอาหารที่ มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายที่เหมาะสม รวมถึงไปฝากครรภ์เพื่อรับคำแนะนำจากแพทย์

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?