เปิดตำราแก้ปัญหาใต้วงแขน

เปิดตำราแก้ปัญหาใต้วงแขน

เรื่องของปัญหาใต้วงแขนสำหรับคุณผู้ชายก็อาจจะมองว่าเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ แต่สำหรับคุณผู้หญิงแล้วต้องบอกว่าเรื่องปัญหาผิวใต้วงแขนเป็นปัญหาที่กวนใจเอามาก ๆ ทีเดียว ทำให้ขาดความมั่นใจ อาย กังวลจนเสียบุคลิกภาพได้

รักแร้เป็นส่วนผิวหนังที่บอบบาง ประกอบด้วยต่อมเหงื่อและรูขุมขนจำนวนมาก และเป็นอีกส่วนในร่างกายที่ควรจะให้ความใสใจ ปัญหาใต้วงแขน ที่พบได้บ่อย ๆ มีอะไรบ้าง ลองมาดูกันค่ะ

ปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติและกลิ่นตัว

นี่คือปัญหาใต้วงแขน แรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่จะเจอ รักแร้ของเรานั้นจะมีต่อมที่สร้างเหงื่ออยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ ต่อม Eccrine จะพบอยู่ทั่วร่างกาย มีหน้าที่ผลิตเหงื่อลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และจะหลั่งเหงื่อสู่บริเวณผิวหนัง และต่อม Apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อขนาดใหญ่กว่า พบเฉพาะบางพื้นที่ เช่นรักแร้ และอวัยวะเพศ จะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะขุ่น หนืดและไม่มีกลิ่น และจะหลั่งเหงื่อเข้าสู่รากขนและรวมกับไขมัน ก่อนจะออกมาสู่ผิวหนังบริเวณรูขุมขน เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ต่อม Apocrine จะสร้างสารเคมีที่มีกลิ่นเฉพาะตัวเรียกว่า กลิ่นกาย บอกถึงความเป็นหนุ่มสาว แต่ละคนมีต่อม Apocrine ไม่เท่ากัน ยิ่งมีมากก็จะทำให้มีเหงื่อที่บริเวณรักแร้มากตามไปด้วย และปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติที่บริเวณใต้วงแขนก็มักจะทำให้เกิดกลิ่นตัวตามมา ซึ่งกลิ่นตัวเกิดจากไขมันที่บริเวณรากขนรวมตัวกับเหงื่อที่หมักหมม และมีเชื้อแบคทีเรียที่สะสมบริเวณผิวหนังมาย่อยสลาย จึงเปลี่ยนกลิ่นกายให้กลายเป็นกลิ่นตัวได้

เหงื่อออกมากผิดปกติเกิดขึ้นจากอะไร

สาเหตุหลักของการเหงื่อออกมากจนทำให้ปัญหาใต้วงแขน มาจาก 2 สาเหตุ คือ

  1. ภาวะเหงื่อออกมากแบบปฐมภูมิ (Primary) เกิดจากมีการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic) ให้มีการหลั่งเหงื่อออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ จะมีการหลั่งเหงื่อออกมาไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม ไม่มีตัวกระตุ้น ดังนั้นจะพบภาวะเหงื่อออกมากได้แม้จะอยู่ในห้องแอร์ และจะมีเหงื่อออกมากเฉพาะจุด ซึ่งตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และมักพบในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
  2. ภาวะเหงื่อออกมากแบบทุติยภูมิ (Secondary) คือเกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือ มีปัจจัยจากโรคอื่น ๆ ที่มีอยู่มากระตุ้น เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน ภาวะวัยทอง โรคหัวใจวายเรื้อรัง โรคติดเชื้อที่ทำให้มีไข้เรื้อรัง ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยารักษาเบาหวาน มอร์ฟีน หรือโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

เหงื่อออกมากผิดปกติรักษาได้อย่างไร

โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งวิธีรักษาออกเป็น 2 แบบ คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด กับการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด เป็นการรักษาแบบประคับประคอง ไม่ทำให้หายขาดได้ การรักษาแบบนี้ก็ได้แก่ การทาสารระงับเหงื่อ การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ (BOTOX) ที่รักแร้เพื่อลดการหลั่งเหงื่อ ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากเพราะสามารถลดเหงื่อได้มากถึง 80 % และขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ไม่มีอันตราย ผลข้างเคียงน้อย หลังฉีดจะเห็นผลว่าเหงื่อเริ่มลดลงภายใน 1 – 2 สัปดาห์ และจะอยู่ได้นาน 6 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย แต่วิธีนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัด จะทำการผ่าตัดเส้นประสาทอัตโนมัติที่กระตุ้นการหลั่งเหงื่อ บริเวณช่องอก หรือ ผ่าตัดต่อมเหงื่อที่บริเวณรักแร้ เป็นการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้ก็คือขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก ต้องดมยาสลบและผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ วิธีนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่ถึงจะรักษาภาวะเหงื่อออกมากได้แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าสามารถลดกลิ่นตัวได้ด้วย เนื่องจากกลิ่นตัวเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและการหมักหมมของเหงื่อรวมตัวกับไขมันที่บริเวณรากขน ดังนั้นในบางรายเมื่อเหงื่อลดลง อาจจะได้ผลทางอ้อมทำให้กลิ่นตัวลดลงด้วย แต่ในผู้ป่วยที่ยังมีกลิ่นตัวอยู่อาจจะต้องพิจารณารักษาแบบอื่นร่วมด้วย เช่นการทายาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือใช้เลเซอร์กำจัดขนซึ่งเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและสามารถลดขนาดต่อมไขมันบริเวณรากขนได้ด้วย ก็จะทำให้กลิ่นลดลงได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม เครื่องเทศ ซึ่งอาหารเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

ปัญหารอยคล้ำใต้วงแขน

เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้สาว ๆ หลายคนหนักใจไม่แพ้กัน ตามปกติแล้วผิวใต้วงแขนจะมีสีคล้ำกว่าผิวส่วนอื่น ๆ เล็กน้อยเพราะเป็นส่วนที่ผิวย่นมารวมกันเหมือนคอ หรือบริเวณขาหนีบ แต่หากผิวส่วนนี้ดำคล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่นอาจเป็นไปได้ว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ปัญหารอยคล้ำเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • การสัมผัสสารเคมีอย่างต่อเนื่อง เช่น น้ำหอม สารกันเสีย หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ทำให้เกิดการระคายเคืองผิว และเกิดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี จึงเกิดรอยดำตามมา
  • การเสียดสีของผิว โดยเฉพาะในคนอ้วน
  • เกิดจากมีสารกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นรอยดำที่เป็นปื้นหนาคล้ายกำมะหยี่สีดำ (Acanthosis nigricans) กระจายเหมือนกัน 2 ข้างของร่างกาย และอาจพบได้ที่รักแร้ คอ ขาหนีบ และข้อพับแขน ซึ่งพบได้ร่วมกับโรคที่มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือพบในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารบางชนิด

รอยดำคล้ำใต้วงแขน รักษายังไงดี

  1. แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้โรลออนที่มีน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมเป็นสารหลักที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้สัมผัสและกระตุ้นการสร้างเม็ดสีทำให้เกิดรอยคล้ำ
  2. ในคนอ้วนควรลดน้ำหนักตัว เพื่อลดการเสียดสีบริเวณรักแร้
  3. การทายาลดรอยดำ ทาไวท์เทนนิ่ง หรือใช้เครื่องผลักวิตามินลงสู่ผิว ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้รอยดำคล้ำของรักแร้จางลงได้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้ระคายเคืองผิว เช่น กลุ่มที่มีกรดวิตามินต่าง ๆ เช่น AHA หรือ BHA
  4. การใช้เลเซอร์รักษารอยดำ หรือใช้เลเซอร์กำจัดขนก็จะช่วยลดการเสียดสีของขนกับผิวหนังและยังทำให้รอยดำจางลงได้

ปัญหาขนรักแร้

อีกหนึ่งปัญหาใต้วงแขนที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็ทำให้ไม่มั่นใจได้เหมือนกัน หลาย ๆ คนจึงต้องหาทางกำจัดขนรักแร้ให้หมดไปเพื่อความมั่นใจของตนเอง การกำจัดขนรักแร้เดี๋ยวนี้ทำได้ไม่ยุ่งยากและมีหลายวิธี ได้แก่ การโกน การถอน การแว็กซ์ แต่วิธีดังกล่าวไม่ถาวร ต้องทำซ้ำบ่อย และอาจจะทำให้ขนที่ขึ้นใหม่หนาขึ้น เกิดขนคุด หรือผิวบริเวณรักแร้เป็นตุ่มหนังไก่ได้ ในปัจจุบันนิยมใช้วิธีการกำจัดขนโดยใช้เลเซอร์มากกว่า เลเซอร์ที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดขน คือ Longpulsed Nd: YAG Laser หรือที่เรียกว่า Gentle-YAG ที่ใช้พลังงานความร้อนลงไปถึงบริเวณรากขน การใช้แสงเลเซอร์กำจัดขนต้องเลือกใช้เครื่องที่มีความยาวคลื่นเหมาะกับการ กำจัดขน ในคนที่มีผิวขาวและเส้นขนสีดำจะตอบสนองต่อเลเซอร์ได้ดีที่สุด และมีความเสี่ยงต่อผิวไหม้จากเลเซอร์น้อยที่สุด แต่เลเซอร์ Gentle-YAG สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในผู้ป่วยที่มีผิวคล้ำ หรือมีเส้นขนขนาดเล็กหรือขนบางได้ด้วย

เตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์

  1. หลีกเลี่ยงการตากแดดจนทำให้ผิวคล้ำอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการทำเลเซอร์กำจัดขน
  2. โกนขนให้สั้นล่วงหน้า 1 วัน ก่อนวันรับบริการ และควรให้เหลือขนยาวประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตรในวันมารับบริการ(ห้ามใช้วิธีถอนขนหรือแว็กซ์ขนก่อนทำการรักษาประมาณ 4 สัปดาห์)

ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยากหรือน่ากลัว เริ่มต้นจากการเช็ดทำความสะอาดรักแร้หริอบริเวณที่จะทำเลเซอร์ ไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา เนื่องจากจะมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยคล้ายเข็มเล่มเล็ก ๆ จำนวนมากแทงที่ผิวหนังระดับตื้นเท่านั้น ต้องบอกว่าเจ็บน้อยมากหรือแทบไม่รู้สึกเจ็บเลยก็ว่าได้ จากนั้นก็จะเริ่มกำหนดพื้นที่บริเวณที่จะทำและเริ่มลงมือในการใช้เลเซอร์กำจัดขน ใช้เวลาเพียง 10 – 15 นาที เท่านั้นก็เป็นอันเสร็จทุกขั้นตอนการทำ

มีอะไรบ้างที่ควรรู้หลังการทำเลเซอรกำจัดขนรักแร้

  1. บริเวณที่กำจัดขนอาจจะมีสีผิวแดงเล็กน้อยหรือเป็นตุ่มนูนแดง ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดดในบริเวณที่ทำเลเซอร์
  3. งดอาบน้ำอุ่นบริเวณที่กำจัดขน สามารถถูสบู่ได้แต่ไม่ควรขัดหรือถูแรง ๆ
  4. งดใช้น้ำหอมหรือยาระงับกลิ่นบริเวณที่กำจัดขนประมาณ 3 วัน
  5. บริเวณที่กำจัดขนอาจตกสะเก็ดหรือมีตุ่มพองใสได้ (ซึ่งพบได้น้อยมาก) และอาการเหล่านี้จะกลับมาเป็นปกติใน 2 สัปดาห์
  6. บริเวณที่กำจัดขน อาจเกิดรอยคล้ำภายหลังการรักษา ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไปได้เอง

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำเลเซอร์กำจัดขน

ผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีหลายระดับตั้งแต่เส้นขนถูกกำจัดออกไปจนหมด เส้นขนเส้นเล็กลง เส้นขนสีอ่อนลง และเส้นขนงอกกลับมาช้าลง โดยเส้นขนที่ถูกกำจัดไปจะไม่งอกกลับมามากกว่า 1 วงจรชีวิตของเส้นขนนั้น หรือประมาณ 1 – 2 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของร่างกาย ความถี่ในการทำเลเซอร์ควรทำทุก 6 – 8 สัปดาห์ ต่อเนื่องกันประมาณ 5 – 7 ครั้ง โดยเส้นขนจะถูกกำจัดไปประมาณ 20 – 30 % หลังการทำเลเซอร์ 1 ครั้ง นอกจากกำจัดขนแล้ว เลเซอร์ยังช่วยให้ผิวหนังบริเวณที่ทำเรียบเนียนขึ้น ช่วยรักษาขนคุด ตุ่มหนังไก่ และทำให้รักแร้ขาวขึ้นด้วยหลังการทำเลเซอร์

ข้อควรระวังในการทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้

ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าถ้าคุณมีประวัติดังนี้

  1. มีประวัติเกิดแผลเป็น (Keloid) ง่าย
  2. มีประวัติเป็นโรคเริมบริเวณริมฝีปากมาก่อน (ในกรณีที่ต้องการกำจัดหนวดหรือขนบนใบหน้า) เนื่องจากต้องรับประทานยาต้านไวรัสก่อนทำเลเซอร์ 1 วัน
  3. กำลังรับประทานยา Roaccutane หรือหยุดยามาน้อยกว่า 6 เดือนก่อนทำการรักษา

ทั้งหมดนี้คือ 3 ปัญหาใต้วงแขนที่ทำให้หลาย ๆ คนหนักใจและเป็นกังวล หวังว่าวันนี้คงจะได้คำตอบในปัญหาและคำแนะนำดี ๆ จากเราไปบ้าง ครั้งหน้าจะมีอะไรที่น่าสนใจมาติดตามกันต่อไปนะคะ

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?